Blogger Widgets
Sporty Magazine official website | Members area : Register | Sign in

ค้นหาบล็อกนี้

คลังไฮไลท์แมตช์

ไฮไลท์คลิป จังหวะสมอลลิ่งกับฮุนเตลาร์หัวโขกกันเกมอังกฤษ พบ ฮอลแลนด์ 12 bet 03/03/2555

วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555



คลิปการประสานงากันของคริส สมอลลิ่ง กองหลังทีมอังกฤษ กับคลาส แยน ฮุนเตลาร์ กองหน้าชาวดัตช์  ในเกมที่อังกฤษเปิดเวมบลีย์ พ่ายไปอย่างหวุดหวิด รายงานยืนยันว่าอาการของทั้งคู่ไม่ร้ายแรงอย่างที่คาดไว้





ภาพเหตุการณ์ในคลิปเป็นเกมกระชับมิตรระหว่าง อังกฤษ และ ฮอลแลนด์ ที่จบลงด้วยชัยชนะสุดระทึกของฮอลแลนด์ 3 ต่อ 2 ในช่วงนาทีที่ 59 ฮุนเตลาร์ ผู้ทำประตูที่สองให้ฮอนแลนด์ ได้รับบาดเจ็บจากจังหวะโหม่งทำประตู โดยโขกไปโดนศรีษะ สมอลลิง เล่นเอาทั้งคู่ลงไปนอนกองคาสนาม ก่อนให้ทีมแพทย์เข้ามาปฐมพยาบาล

โดยรายงานล่าสุดแจ้งว่า สมอลลิ่งเจ็บหนักสุด ต้องส่งตัวไปโรงพยาบาล รักษาบาดแผลลึกที่ศีรษะจากจังหวะปะทะกับคลาส ฮุนเตลาร์ ของทีมกังหันสีส้ม ซึ่งเข้าโรงพยาบาลเช่นกัน

ไฮไลท์แมตช์ แบล็คพูล VS ฮัลล์ ซิตี้ Championship ฮัลล์ไล่เจ๊าแบล็คพูลทดเจ็บ 1-1



"เดอะ ซีไซเดอร์ส" แบล็คพูล เซ็งสุดๆ หลังได้แต่ผลเสมอในรังบลูมฟิลด์ โร้ด โดยถูก "เสือน้อย" ฮัลล์ ซิตี้ ไล่ยิงตีเสมอในนาทีสุดท้าย 1-1 ในศึกฟุตบอล เดอะแชมเปี้ยนชิพ อังกฤษ เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 2 มี.ค. ที่ผ่านมา



วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2555


ฟุตบอล เดอะแชมเปี้ยนชิพ อังกฤษ
แบล็คพูล 1     -     1 ฮัลล์ ซิตี้


แบล็คพูล ไม่มี แกรี่ เทย์เลอร์ เฟล็ทเชอร์ กองกลางจอมขยัน ที่ยังเจ็บเข่า แต่ได้ โรมัน เบ็ดนาร์ กองหน้าชาวเช็กวัย 28 ปี หายเจ็บกลับมาลงล่าตาข่ายร่วมกับ เบร็ตต์ ออร์เมร็อด และ เควิน ฟิลลิปส์ หัวหอกจอมเก๋าวัย 38 ปี ที่ตะบันไปแล้ว 12 ประตูในลีกฤดูกาลนี้ ขณะที่ทางด้าน "เดอะ ไทเกอร์ส" ฮัลล์ ซิตี้ วาง แม็ตต์ ฟรายอัตต์ กับ อารอน แม็คลีน จับคู่กันในแดนหน้า


แค่ 2 นาที เจ้าบ้านได้ลุ้นก่อนจากจังหวะดันขึ้นมาซัดของ สตีเฟ่น เครนี่ย์ แต่ วิโต้ มานโนเน่ นายทวารชาวอิตาเลี่ยนของฮัลล์ เซฟไว้ได้


ถัดมาสามนาที แบล็คพูล ได้ลุ้นต่อเนื่องจากจังหวะที่ คีธ เซาเธิร์น หาเหลี่ยมซัดบีบให้ วิโต้ มานโนเน่ ต้องออกแรงปัดข้ามคานไป จากลูกเตะมุม โธมัส อินซ์ เปิดเข้ามาให้กับ อเล็กซ์ แบ็ปติสต์ โหม่งเต็มๆ แต่ มานโนเน่ ปัดข้ามคานไปได้อีกครั้ง


อย่างไรก็ตาม "เดอะ ซีไซเดอร์ส" ที่บุกมากกว่าได้ประตูขึ้นนำจนได้จากจังหวะที่ เควิน ฟิลลิปส์ ผ่านบอลจากกราบขวาให้กับ โธมัส อินซ์ ตะบันด้วยซ้ายจากระยะ 20 หลา ทางกรอบเขตโทษด้านซ้ายบอลพุ่งเสียบสามเหลี่ยมเสาไกลอย่างสวยงามให้ แบล็คพูล นำก่อน 1-0 ในนาทีที่ 27


เกมยังเป็นของเจ้าบ้านบุกตลอด มีโอกาสอีกครั้งในนาทีที่ 35 เมื่อ อินซ์ เปิดมุมให้กับ แดนนี่ วิลสัน โขกหลุดกรอบออกไป หมดครึ่งแรก แบล็คพูล นำก่อน 1-0


กลับมาเล่นกันต่อในครึ่งหลังได้ 9 นาที โรมัน เบ็ดนาร์ หัวหอกแบล็คพูล พาบอลไปยิงโค้งบอลเลี้ยวเข้ากรอบ แต่ วิโต้ มานโนเน่ นายทวารชาวอิตาเลี่ยนของฮัลล์ ปัดไว้ได้อย่างน่าชมเชย


เกมดำเนินมาถึงนาทีที่ 56 เควิน ฟิลลิปส์ หอกเก๋าเจ้าถิ่นวัย 38 ปี ลองกระทุ้งด้วยขวา แต่ มานโนเน่ ยังปัดไว้ได้อีกครั้ง


มาถึงนาทีที่ 61 ฮัลล์ ต้องแก้เกมแล้วส่ง โจชัว คิง กองหน้าลงสนามแล้วถอด แคเมร่อน สจ๊วร์ต ออกมาพัก พร้อมกับส่ง คอร์รี่ อีแวนส์ ลงมาเล่นในแดนกลางแทน เซยี่ โอโลฟินยาน่า


กระนั้นก็ดีเกมของเจ้าบ้านยังดุดันกว่า โธมัส อินซ์ เทคตัวขึ้นโหม่งบอลหลุดเสาซ้ายไปในนาทีที่ 66สองนาทีให้หลัง เควิน ฟิลลิปส์ หัวหอกของเดอะ ซีไซเดอร์ส กระหน่ำด้วยขวาบอลข้ามคานไปอีก


เกมทำท่าว่าจะจบลงที่ชัยชนะของเจ้าบ้านแต่แล้วนาทีที่ 90 ฮัลล์มาได้ประตูตีเสมอเป็น 1-1 จาก แม็ตต์ ฟรายอัตต์ จบเกม แบล็คพูล เปิดรังเสมอกับ ฮัลล์ ซิตี้  1-1 แบ่งกันไปทีมละแต้ม




รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม


แบล็คพูล: แม็ทธิว กิลค์ส - อเล็กซ์ แบ็ปติสต์, นีล เอิร์ดลี่ย์, แดนนี่ วิลสัน, สตีเฟ่น เครนี่ย์ - คีธ เซาเธิร์น, แบร์รี่ เฟอร์กูสัน, โธมัส อินซ์ - เควิน ฟิลลิปส์, เบร็ตต์ ออร์เมร็อด, โรมัน เบ็ดนาร์ (จอห์น เฟล็ค น.70)
      
ฮัลล์: วิโต้ มานโนเน่ - เลียม โรซีเนียร์, เจมส์ เชสเตอร์, แจ็ค ฮ็อบบ์ส, แอนดี้ ดอว์สัน - แคเมร่อน สจ๊วร์ต (โจชัว คิง น.61), เซยี่ โอโลฟินยาน่า (คอร์รี่ อีแวนส์ น.61), พอล แม็คเคนน่า, โรเบิร์ต โคเรน - แม็ตต์ ฟรายอัตต์, อารอน แม็คลีน (มาร์ค คัลเล่น น.75)

ไฮไลท์คลิป บาเรนห์ ถล่ม อินโดฯยับ 10-0 ร้อนฟีฟ่าตรวจสอบล้มบอล 12bet 02/03/2555

วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555

ส่งกลิ่นไม่ดีจนส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบผลการแข่งขัน ระหว่างนัด บาห์เรน ถล่ม อินโดนีเซียไปถึง 10-0 ในศึกเวิลด์ คัพ รอบคัดเลือก โซนเอเชีย เมื่อวันพุธที่ผ่านมา อย่างละเอียด หลังมีแววส่อไปในทางล้มบอลสูง เหตุ บาห์เรน ต้องการชนะให้ได้เกิน 9 ลูก และก็ทำได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่สุดท้ายต้องตกรอบไปในท้ายที่สุด เพราะ กาตาร์ ไปเสมอ อิหร่าน นั่นเอง






สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) จัดการสั่งเจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบผลการแข่งขันเกมฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย กลุ่มอี ที่ บาห์เรน เอาชนะ อินโดนีเซีย ไปแบบถล่มทลาย 10-0 เมื่อวันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา อย่างละเอียดทันที ภายหลังรู้สึกว่ามีสิ่งไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับเกมนัดดังกล่าว


ตามแถลงการณ์ของ ฟีฟ่า ระบุว่า "เมื่อนำเอาผลการแข่งขันที่ออกมาแบบไม่ปกติ มาพิจารณาถึงการคาดหมายผลการแข่งขัน และประวัติการพบกันของทั้ง 2 ทีม รวมถึงในเรื่องผลประโยชน์ของการรักษาความเชื่อมั่นในเกมของเรา ฝ่ายตรวจสอบของ ฟีฟ่า จึงต้องทำการตรวจสอบการแข่งขันเกมนี้อย่างละเอียด และผลการแข่งขันด้วย" 


ทั้งนี้ ก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น บาห์เรน ต้องการเอาชนะ อินโดนีเซีย ให้ได้ 9 ประตูขึ้นไป พร้อมกับต้องลุ้นให้ กาตาร์ บุกไปแพ้ อิหร่าน พวกเขาถึงจะเข้ารอบคัดเลือกรอบต่อไป ทว่า กาตาร์ สามารถบุกไปเสมอ อิหร่าน ได้ จึงส่งผลให้ กาตาร์ ได้อันดับ 2 และ บาห์เรน ตกรอบไปในท้ายที่สุด ขณะที่ทัพนักเตะจากแดนอิเหนา ก็ส่งแข้งสำรองลงเล่นเกือบทั้งทีม เนื่องจากบรรดาดาวเตะหลักของทีมติดโทษแบนกันหลายราย    

ไฮไลท์คลิป - ลมแรงจัด! โกล์มัคคาบี้เตะเปิดเกมเข้าประตูตัวเอง12bet 02/03/2555

อัสซาฟ เมนเดส นายทวารของมัคคาบี้ ไฮฟา ดังแบบไม่ได้ตั้งใจ ในการเล่นเกมกระชับมิตร กับดินาโม เคียฟ เมื่อจังหวะพยายามเตะเปิดเกม กลับโดนกระแสลมที่ถือว่าแรงมาก พัดพาลูกกลับเข้าประตูไปซะอย่างงั้น



เมสซี่แฮตทริก!ฟ้าขาวบุกคว่ำสวิสคาถิ่น3-1

วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555

ฟุตบอลนัดกระชับมิตรทีมชาติ 
วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 
สวิตเซอร์แลนด์   1  -  3   อาร์เจนติน่า


        ลีโอเนล เมสซี่ กัปตันทีมอาร์เจนติน่า สวมบทฮีโร่หลังซัดคนเดียวสามลูก พาทีมฟ้า-ขาว ไล่ถล่ม สวิตเซอร์แลนด์ 3-1 โดยเจ้าถิ่นมาได้ประตูตีไข่แตกจาก แซร์ดาน ชากิรี่ ในศึกฟุตบอลนัดกระชับมิตรทีมชาติ เมื่อวันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมา


สนาม: สต๊าด เดอ สวิส, เบิร์น, สวิตเซอร์แลนด์

        คู่นี้เจอกันใน 5 นัดหลังสุด อาร์เจนติน่า ไม่เคยแพ้เลย โดยเกมนี้ สวิตเซอร์แลนด์ เจ้าบ้านส่ง กรานิต ซาก้า กองกลางดาวรุ่งวัย 19 ปี ของสโมสรบาเซิ่ล ลงมาทำเกมร่วมกับ แซร์ดาน ชากิรี่ และ ฟาเบียน ฟราย สองเพื่อนร่วมทีมบาเซิ่ล

        ทางด้าน "อัลบิเซเลสเต้" อาร์เจนติน่า ไม่มี อังเคล ดิ มาเรีย, เอเวร์ บาเนก้า, นิโคลัส บูร์ดิสโซ่ และ มาร์กอส โรโฮ ที่มีอาการบาดเจ็บรบกวนทั้งหมด โดยเกมนี้ปรับมาเล่นระบบ 4-4-2 พร้อมส่ง อูโก้ คัมปันญาโร่ กองหลังจอมเก๋าวัย 31 ปี จากสโมสรนาโปลี ลงเล่นให้กับทีมชาติเป็นนัดแรก

        แนวรุกเรียก มักซี่ โรดริเกซ ปีกมากประสบการณ์ของลิเวอร์พูล ลงมาช่วยปั้นเกมสนับสนุนคู่กองหน้าอย่าง เซร์คิโอ อเกวโร่ "กุน" และ ลีโอเนล เมสซี่ กัปตันทีม โดยรายของ กอนซาโล่ อิกวาอีน มีชื่อเป็นแค่สำรองเท่านั้น

        ออกสตาร์ทครึ่งแรกมาได้แค่นาทีเดียว สวิส ลุยขึ้นมาก่อน ฟาเบียน ฟราย ทะลุขึ้นมาทางซ้ายก่อนไหลบอลให้กับ กรานิต ซาก้า กระทุ้งเต็มๆ แต่ เซร์คิโอ โรเมโร่ นายทวารของอาร์เจนติน่า รับไว้ได้สบาย

        อย่างไรก็ตามกลายเป็น ฟ้า-ขาว มาได้ประตูขึ้นนำไปก่อนจากจังหวะที่ ลีโอเนล เมสซี่ พาบอลขึ้นมาจากกลางสนามแทงบอลขึ้นหน้ามาให้กับ เซร์คิโอ อเกวโร่ "กุน" จับแล้วตอกส้นมาให้กับ เมสซี่ ตามมาแปด้วยซ้ายเล่นทางเสียบเสาสองเข้าไปอย่างสุดสวยช่วยให้ อาร์เจนติน่า ขึ้นนำก่อน 1-0 ในนาทีที่ 20

        สองนาทีต่อมา สวิส โต้ขึ้นมาบ้าง แซร์ดาน ชากิรี่ พาบอลขึ้นมาทางขวาแล้วพยายามตัดเข้ากลาง แต่ เอเซเกล การาย เบียดแย่งบอลไปได้อย่างยอดเยี่ยม

        ผ่านมา 31 นาที ฟ้า-ขาว ทำเกมกันสวย เมสซี่ กับ อเกวโร่ ทำชิ่งกัน ก่อนจังหวะสุดท้าย เมสซี่ ครอสเข้ากลาง แต่ อเกวโร่ ไม่ได้ตามมาเลยชวดโอกาสพังประตูไป

        จากนั้นเป็น สวิส ที่พยายามบุกกดดันมีลุ้นในนาทีที่ 42 จากจังหวะที่ แซร์ดาน ชากิรี่ กระดกให้กับ กรานิต ซาก้า วอลเลย์ทันทีแต่บอลสูงเกินไป หมดครึ่งแรก อาร์เจนติน่า นำก่อน 1-0

        มาเล่นกันต่อในครึ่งหลัง เจ้าบ้านเปลี่ยนเอา เอเรน แดร์ดิย็อก ลงเล่นแทน ฟาเบียน ฟราย พร้อมกับให้ มาร์โก โวล์ฟลี่ ลงมาเฝ้าเสาแทน ดีเอโก้ เบนาโญ่ ส่วน อาร์เจนฯ ส่ง เฟร์นานโด กาโก้ เล่นแทน บรันญ่า ที่มีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย

        ขุนพลจากแดนนาฬิกา ทำได้ดีและตีเสมอสำเร็จจากจังหวะที่ กรานิต ซาก้า เปิดจากซ้ายเข้ามา แดร์ดิย็อก ตวัดยิงวืด บอลยังมาเข้าทาง แซร์ดาน ชากิรี่ วิ่งสอดเข้ามาแปด้วยซ้ายเสยใต้คานเข้าไปให้สวิส ตามมาเป็น 1-1 ในนาทีที่ 49

        หนึ่งชั่วโมงของเกม สวิส ได้ลุ้นอีกครั้ง เอเรน แดร์ดิย็อก ปั่นฟรีคิกบอลข้ามคานไป

        ฟ้า-ขาว โต้ขึ้นมาบ้างในนาที 62 เมสซี่ เปิดบอลให้กับ เฟร์นานโด กาโก้ เลี้ยงพาบอลเข้ามาซัดแต่บอลไปตรงตัว มาร์โก โวล์ฟลี่ นายทวารของสวิสที่ลงมาเป็นสำรอง

        ข้ามมานาทีที่ 71 ทีมเยือนเปลี่ยนเอา มักซี่ โรดริเกซ ที่ไม่มีบทบาทกับทีมออกแล้วส่ง เอดูอาร์โด้ ซัลวิโอ ลงมาเล่นแทน

        สี่นาทีต่อมา อาร์เจนติน่า น่าจะได้ประตูแซงนำเมื่อ เซร์คิโอ อเกวโร่ "กุน" ดึงบอลลงในเขตโทษแล้วจิ้มเร็วทันที แต่ มาร์โก โวล์ฟลี่ นายทวารของสวิส ปัดข้ามคานไปได้

        เจ้าถิ่นโต้ขึ้นมาบ้าง ชากิรี่ ลากตัดเข้าในแล้วสับเรียดแต่ไม่เป็นปัญหา โรเมโร่ รับไว้ได้สบายๆ ในนาทีที่ 78

        ท้ายเกมนาทีที่ 82 ทีมเยือนเปลี่ยนเอา กอนซาโล่ อิกวาอีน ลงมาเล่นหน้าแล้วถอด โฮเซ่ โซซ่า ออกมาพัก ขณะที่ สวิส ให้ แอ็งโนซ็องต์ เอเมกาห์ร่า เล่นแทน เมห์เมดี้

        สองนาทีต่อมา สวิส ได้ลุ้นจากจังหวะที่ โรดริเกซ ไหลบอลให้กับ แดร์ดิย็อก ซัดหลุดกรอบออกไป

        อย่างไรก็ตาม กลายเป็น อาร์เจนฯ ที่บุกน้อยกว่ามาได้ประตูแซงนำ 2-1 ในนาทีที่ 88 จากจังหวะที่ ฟร็องซัวส์ อัฟโฟลเตอร์ กองหลังสวิส ทำพลาดเสียบอลให้กับ ลีโอเนล เมสซี่ พาบอลกระชากผ่าน เซนเดรอส เข้าไปในกรอบเขตโทษด้านซ้าย ก่อนจะกระหน่ำด้วยซ้ายบอลพุ่งเสียบสามเหลี่ยมแล้วเช็ดใต้คานเข้าไปสุดงาม

        เกมทำท่าว่าจะจบลงด้วยสกอร์นี้ แต่แล้วช่วงทดเจ็บนาทีที่ 3 ฟ้า-ขาว มาได้จุดโทษจากจังหวะที่ ฟร็องซัวส์ อัฟโฟลเตอร์ แนวรับเจ้าถิ่นไปดุง กอนซาโล่ อิกวาอีน จนล้มในเขตโทษ ผู้ตัดสินชี้เป็นจุดโทษทันที ก่อนที่ เมสซี่
รับหน้าที่สังหารเข้าไปนิ่มๆ โดยที่ มาร์โก โวล์ฟลี่ พุ่งไปผิดทาง และเป็นแฮททริคของ เมสซี่ ในเกมนี้ช่วยให้ อาร์เจนติน่า บุกมาเอาชนะ สวิตเซอร์แลนด์ ขาดลอย 3-1 เมื่อหมดเวลาการแข่งขัน

รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม สวิตเซอร์แลนด์: ดีเอโก้ เบนาโญ่ - สเตฟาน ลิคสไตเนอร์, ฟิลิปป์ เซนเดรอส, ฟร็องซัวส์ อัฟโฟลเตอร์, ริคาร์โด้ โรดริเกซ - โกคาน อินแลร์ (กัปตันทีม), เบลริม เซไมลี่ - แซร์ดาน ชากิรี่, กรานิต ซาก้า, ฟาเบียน ฟราย -อั๊ดมีร์ เมห์เมดี้
สำรอง: ยันน์ ซอมเมอร์ (ผู้รักษาประตู) - มาร์โก โวล์ฟลี่ (ผู้รักษาประตู) - อแล็ง เนฟ, เรโต้ ซีกเลอร์, โยฮัน ฌูรู, วาลอน เบห์รามี่, เกลสัน แฟร์นานเดส, วาเลนติน สต็อคเกอร์, แอ็งโนซ็องต์ เอเมกาห์ร่า, เอเรน แดร์ดิย็อก, มาติอัส วิตคีเวียซ 
อาร์เจนติน่า: เซร์คิโอ โรเมโร่ - อูโก้ คัมปันญาโร่, เฟเดริโก้ เฟร์นานเดซ, เอเซเกล การาย, ปาโบล ซาบาเลต้า - โฮเซ่ โซซ่า, ฮาเวียร์ มาสเคราโน่, โรดริโก้ บรันญ่า, มักซี่ โรดริเกซ  - เซร์คิโอ อเกวโร่ "กุน", ลีโอเนล เมสซี่ (กัปตันทีม)
สำรอง: มาเรียโน่ อันดูฮาร์ (ผู้รักษาประตู) - ดาเนี่ยล "กาต้า" ดิอ๊าซ, ลูเซียโน่ มอนซอน, เฟร์นานโด กาโก้, เอริค ลาเมล่า, กอนซาโล่ อิกวาอีน, โรดริโก้ ปาลาซิโอ, เอดูอาร์โด้ ซัลวิโอ 
ผู้ตัดสิน: ฟลอเรียน เมเยอร์ (เยอรมัน) 

โซลดาโด้กดสาม!กระทิงดุถล่มเวเนฯยับ5-0

 ฟุตบอลนัดกระชับมิตรทีมชาติ
  วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555
 สเปน 5-0 เวเนซุเอลา


         โรแบร์โต้ โซลดาโด้ ดาวยิงจากบาเลนเซียกดสามตุงช่วยให้ ทีมชาติสเปน แชมป์โลกทีมล่าสุด เปิดบ้านไล่ถล่ม เวเนซุเอลา ไปแบบไม่ยากเย็นนัก 5-0 โดยท้ายเกม เฟร์นานโด อโมเรบิเอต้า กองหลังของเวเนซุเอลา ถูกใบแดงไล่ออกจากสนาม ในฟุตบอลนัดกระชับมิตร เมื่อวันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมา


สนาม: เอสตาดิโอ ลา โรซาเลด้า, มาลาก้า, สเปน

         เริ่มเกมมาแค่ 2 นาที สเปน ได้ลุ้นก่อนจากจังหวะที่ อันเดรส อิเนียสต้า เปิดบอลจากริมเส้นให้ เฟร์นานโด ยอเรนเต้ กองหน้าร่างยักษ์ได้โขกแต่บอลข้ามคานออกไป

         ถัดจากนั้นนาทีเดียว เวเนซุเอลา ตอบโต้บ้างจาก โฮเซ่ ซาโลมอน รอนดอน ที่ได้หลุดเข้าไปยิงในกรอบเขตโทษด้านซ้าย แต่ อีเกร์ กาซียาส ชกบอลออกไปได้

         นาทีที่ 6 เจ้าถิ่นเกือบได้ประตูออกนำ จากลูกเตะมุม เชส ฟาเบรกาส บรรจงเปิดเข้าไปในกรอบเขตโทษ เซร์คิโอ รามอส ขึ้นโขกเต็มๆแต่บอลไปชนคานออกมา

         นาทีที่ 16 ดาบิด ซิลบา แทงบอลทะลุช่องให้ อันเดรส อิเนียสต้า พลิกหลบแนวรับเข้าไปยิงด้วยซ้ายแต่ ดานี่ เอร์นานเดซ นายทวารทีมเยือนวิ่งออกมาบล็อกเอาไว้ได้

         นาทีที่ 21 อันเดรส อิเนียสต้า วางบอลยาวให้ เชส ฟาเบรกาส หลุดเข้าไปหน้าประตู แต่เจ้าตัวกลับดีดบอลไม่โดน บอลเลยลอยออกหลังไป

         นาทีที่ 28 ดาบิด ซิลบา ยิงเต็มข้อจากนอกรอบเขตโทษ ดานี่ เอร์นานเดซ รับไม่ดีบอลปลิ้นเกือบเข้าประตู

         นาทีที่ 37 เชส ฟาเบรกาส ผ่านบอลเข้ากลาง บอลไปแฉลบกองหลังเวเนซุเอลามาเข้าทาง อันเดรส อิเนียสต้า ที่ยืนแปเน้นๆเบียดเสาเข้าไป สเปน ขึ้นนำ 1-0

         นาทีที่ 40 ดาบิด ซิลบา ลากบอลไต่ริมเส้นขึ้นมาทางด้านขวา ก่อนล็อกเข้ากลางพร้อมทำชิ่งกับ เชส ฟาเบรกาส ที่ตอกส้นกลัมมาให้ ดาบิด ซิลบา ได้ยิงด้วยซ้ายบอลพุ่งโค้งเสียบเสาเข้าไปอย่างสุดสวย สเปน หนีห่างเป็น 2-0

         จบครึ่งเวลาแรก สเปน ขึ้นนำ เวเนซุเอลา อยู่ 2-0

         กลับมาเล่นต่อในครึ่งหลัง บิเซนเต้ เดล บอสเก้ เทรนเนอร์ของทีมตัดสินใจเปลี่ยน เฟร์นานโด ยอเรนเต้ กับ อันเดรส อิเนียสต้า ออกและให้ โรแบร์โต้ โซลดาโด้ กับ ซานติ การ์ซอร์ล่า ลงแทน

         นาทีที่ 50 สองตัวสำรองก็ประสานงานกัน ซานติ การ์ซอร์ล่า ลากหลบแนวรับก่อนผ่านบอลให้ โรแบร์โต้ โซลดาโด้ ดีดเข้าไปง่ายๆ สเปน หนีห่างเป็น 3-0

         ถัดมา 4 นาที อัลบาโร่ อาร์เบลัว ก็ไหลบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษให้ โรแบร์โต้ โซลดาโด้ วิ่งเข้ายิงง่ายๆระยะ 6 หลา ตุงตาข่าย ทีมกระทิงดุ ขยับหนีห่าง 4-0

         นาทีที่ 66 โรแบร์โต้ โซลดาโด้ ได้หลุดเดี่ยวเข้าไปล็อกหลบผู้รักษาประตูแล้ว แต่ เฟร์นานโด อโมเรบิเอต้า กองหลังเวเนซุเอลา วิ่งมาดึงล้มลง ผู้ตัดสินชี้เป็นจุดโทษพร้อมชูใบแดงไล่ อโมเรบิเอต้า ออกจากสนาม เวเนซุเอลา เหลือผู้เล่นเพียงแค่ 10 คน

         โรแบร์โต้ โซลดาโด้ รับหน้าที่สังหารแต่เจ้าตัวกลับยิงกลางประตู ไปติดเซฟของ ดานี่ เอร์นานเดซ พลาดการทำแฮตทริกไปอย่างน่าเสียดาย

         นาทีที่ 77 อีเกร์ มูเนียอิน ที่ได้โอกาสประเดิมทีมชาตินัดแรก ก็ได้ยิงระยะ 6 หลา แต่กองกลางจาก แอธ.บิลเบา กลับยิงไปตรงตัว ดานี่ เอร์นานเดซ

         นาทีที่ 84 จอร์ดี้ อัลบา เปิดบอลเข้าไปในกรอบ 6 หลา โรแบร์โต้ โซลดาโด้ วิ่งเข้ายิงง่ายๆให้ ทีมหนีห่างสุดกู่ 5-0 พร้อมทั้งเป็นการทำแฮตริกของเจ้าตัวในการลงสนามในนามทีมชาติครั้งแรก

         ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีฝ่ายใดทำประตูเพิ่มกันได้จบเกม สเปน เปิดบ้านเอาชนะ เวเนซุเอลา ไปสบายๆ 5-0

         รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม         สเปน (4-3-3) : อีเกร์ กาซียาส ; อัลบาโร่ อาร์เบลัว, เกราร์ด ปิเก้, เซร์คิโอ รามอส, จอร์ดี้ อัลบา ; เชส ฟาเบรกาส, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์, ชาบี อลอนโซ่ ; อันเดรส อิเนียสต้า, เฟร์นานโด ยอเรนเต้, ดาบิด ซิลบา 

         เวเนซูเอล่า (4-3-3) : ดานี่ เอร์นานเดซ ; โรเบร์โต้ โรซาเลส, เฟร์นานโด อโมเรบิเอต้า, ออสวัลโด้ วิซคาร์รอนโด้, รูเบิร์ต กีฮาด้า ; มิเกล เมีย วิตาลี่, โทมัส รินคอน, ฆูลิโอ อัลบาเรซ ; ฮวน อารันโก้, โฮเซ่ ซาโลมอน รอนดอน, มิกู

ร็อบเบนซัดสอง!กังหันลมบุกเชือดสิงโต3-2

ฟุตบอลนัดกระชับมิตรทีมชาติ
วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555
อังกฤษ  2 - 3  ฮอลแลนด์

        อาร์เยน ร็อบเบน แผลงฤทธิ์ ซัดชัยช่วงทดเจ็บพา "กังหันลม" ฮอลแลนด์ บุกเชือด "สิงโตคำราม" อังกฤษ คาเวมบลีย์ 3-2 โดยเกมนี้ ร็อบเบน ซัดคนเดียวสองลูก ในศึกฟุตบอลนัดกระชับมิตรทีมชาติ เมื่อวันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมา


สนาม : เวมบลีย์

        สจ๊วร์ต เพียร์ซผู้จัดการทีมชาติอังกฤษชั่วคราวแต่งตั้งให้สก็อตต์ พาร์เกอร์รับบทกัปตันแม้สตีเว่น เจอร์ราร์ดที่ถูกมองว่ามีโอกาสสวมปลอกแขนจะได้ลงบู๊เป็นตัวจริงร่วมกับมิด ฟิลด์ทีมสเปอร์สในการรับใช้ชาติคู่กันเป็นครั้งแรก

        รวมแล้วเกมนี้ สิงโตคำรามมีการปรับโผหกรายจากเกมชนะสวีเดนซึ่งเป็นการคุมทีมแม็ตช์สุดท้ายของฟาบิโอ คาเปลโล่ก่อนลาออก

        โดย ในตำแหน่งแบ็คขวาตกเป็นของไมกาห์ ริชาร์ดส์ซึ่งได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงหนแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2007 หลังจากทั้งเกล็น จอห์นสันและไคล์ วอล์คเกอร์บาดเจ็บจนต้องถอนตัว ขณะที่แบ็คซ้ายมีเซอร์ไพรซ์เลห์ตัน เบนส์ยังรักษาตำแหน่งได้แม้แอชลีย์ โคลจะฟิตกลับมาแล้ว

        สำหรับกองหน้าแดนนี่ เวลเบ็ครับภาระหอกเดี่ยวโดยอดัม จอห์นสันตัวริมเส้นซึ่งติดทีมชาติเป็นนัดที่สิบกลับมาลงบู๊เป็นตัวจริงอีกหน นับตั้งแต่เดือนต.ค.2010

        ด้านฮอลแลนด์มีโรบิน ฟาน เพอร์ซี่ลงเล่นได้หลังกองหน้าอาร์เซน่อลสลัดอาการบาดเจ็บขาหนีบได้ทันเวลา แต่ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ทมิดฟิลด์สเปอร์สบาดเจ็บถอนตัวไปแล้ว

        อังกฤษ เริ่มเกมได้อย่างน่าฮือฮา และมีเสียวในนาทีที่ 7 จากลูกเตะมุมด้านซ้ายที่แกรี่ เคฮิลล์โฉบเข้าโขกเสาแรกระยะหกหลา สะบัดออกเสาไกลไปนิดเดียวเท่านั้น

        แต่ไม่ทันไร ฮอลแลนด์ก็เริ่มตั้งลำได้ และนาทีที่ 15 อาร์เยน ร็อบเบนก็เลื้อยขึ้นฝั่งซ้ายลากบอลจี้เข้าหาริชาร์ดส์ในเขตโทษก่อนซัดมุมแคบ แต่ถูกโจ ฮาร์ทปัดทิ้งได้

        ถัดมาในนาทีที่ 26 สิงโตคำรามน่าจะออกนำเมื่อแอชลีย์ ยังไหลบอลจากแถวสองเข้าเขตโทษด้านขวาให้จอห์นสันหาจังหวะล็อคยิงแฉลบจอห์น นี่ ไฮติงก้าหลุดเสาสองออกไป

        ผ่านมาถึงนาทีที่ 33 เจ้าบ้านก็เปลี่ยนเจอร์ราร์ดที่เหมือนจะไม่สมบูรณ์ออกโดยส่งดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ลงไปแทน

        ล่วง มาถึงนาทีที่ 43 เบนส์เสริมเกมรุกทางซ้ายไปโยนบอลเข้าเขตโทษ แต่ยังโดดโขกจาก 15 หลาที่เสาแรกไม่เต็มศีรษะ บอลจึงโด่งข้ามคาน ครบ 45 นาทีแรกเกมจึงจบลงแบบจืดชืด 0-0

        ครึ่งหลังทีมเมืองผู้ดีส่ง เจมส์ มิลเนอร์ลงไปแทนแกเร็ธ แบร์รี่ ขณะที่ทีมเยือนใช้งานคลาส แยน ฮุนเตลาร์และสไตน์ ชาร์สแทนฟาน เพอร์ซี่และเอริค ปีเตอร์ส

        จากนั้นในนาทีที่ 47 ริชาร์ดส์ก็รับใบเหลืองในจังหวะเสียบร็อบเบน

        กระนั้น อีกสองนาทีให้หลังจากลูกเตะมุมด้านขวาของสิงโตคำรามที่ยังสาดเข้าไปเสาไกล สเตอร์ริดจ์ก็ดึงบอลหนีบูลารูซก่อนกระทุ้งจาก 15 หลา ทว่ามาร์เตน สเตเลเลนเบิร์กล้มตัวปัดที่โคนเสาได้

        จากนั้นในนาทีที่ 54 เวสลีย์ สไนเดอร์ก็ผ่านบอลขวางมาจากทางซ้ายให้ฮุนเตลาร์กระทุ้งจาก 25 หลา แต่บอลหลุดกรอบไปแบบพอได้ลุ้น

        และ ในที่สุดอีกสามนาทีต่อมาในจังหวะที่ไนเจล เดอ ย็องก์เสียบแย่งบอลได้ ร็อบเบนก็เก็บตกลากจากแดนตัวเองขึ้นมาโดยที่แนวรับสิงโตคำรามถอยร่นประคอง จังหวะกันหมด จึงทำให้ปีกสกินเฮดสับไกจาก 20 หลาส่งบอลเรียดผ่านฮาร์ทเข้าประตูเป็นสกอร์นำ 1-0 ของทีมดัตช์

        เท่า นั้นไม่พอ เขี่ยบอลกันใหม่ได้แค่สองนาที เคาท์ก็โยนบอลจากกราบขวาเข้าเขตโทษให้ฮุนเตลาร์โขกจากหกหลาไม่เหลือ ฮอลแลนด์จึงนำ 2-0 ในนาทีที่ 59 แต่ศีรษะของฮุนเตลาร์ปะทะกับคริส สมอลลิ่งเต็มๆในจังหวะขวิดบอลจนน็อคทั้งคู่

        อย่างไรก็ดี ฮุนเตลาร์ลุกขึ้นมาเองได้แต่ได้เลือดเล็กน้อยจึงเปลี่ยนออกให้ลุค เดอ ย็องก์ลงไปแทน ขณะที่สมอลลิ่งต้องหามลงเปลออกไปโดยมีฟิล โจนส์ลงบู๊เป็นแบ็คขวาให้ริชาร์ดส์ย้ายไปเล่นเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ  ขณะที่สจ๊วร์ต ดาวนิ่งก็ถูกปล่อยลงไปแทนจอห์นสันเช่นกัน

        ขยับมาในนาทีที่ 66 มิลเนอร์ตักบอลจากกราบขวาเข้าเขตโทษเยี่ยม แต่ดาวนิ่งวอลเลย์ที่เสาสองย้อนศรออกนอกกรอบไปแค่คืบเท่านั้น

        นาที ที่ 69 ร็อบเบนแผลงฤทธิ์อีกหนเมื่อรับบอลจากสไนเดอร์แล้วเลื้อยขึ้นทางซ้ายแตะหนี โจนส์เข้าไปกดในเขตโทษได้ แต่ริชาร์ดส์ปรี่เข้ามาบล็อคออกนอกกรอบได้ทัน

        ท้าย เกม ทรี ไลอ้อนส์พยายามเดินหน้า และนาทีที่ 73 เบนส์ก็เก็บตกได้ในเขตโทษด้านซ้ายจึงปาดไปอีกฟากให้สเตอร์ริดจ์ซัดเหน่งๆหก หลา แต่เบาเกินไปจึงถูกสเตเคเลนเบิร์กคว้าได้

        นาทีต่อมา โยริส มาไธจ์เซ่นทำฟาวล์ยังจึงได้ใบเหลือง และถึงนาทีที่ 77 ทีมเยือนก็เปลี่ยนอูร์บี้ เอมานูเอลสันลงไปแทนสไนเดอร์

        นาที ที่ 85 สิงโตคำราม มาได้ประตูตีไข่แตก แกรี่ เคฮิลล์ หลุดขึ้นมาในกรอบเขตโทษก่อนจะล็อคหลบกองหลังทีมเยือนแปรด้วยขวาโล่งๆ ไล่มาเป็น 1-2

        นาทีสุดท้าย เจ้าถิ่นมีฮึดมาได้ประตูตีเสมอ จากผู้เล่นของ ผีแดง โดย ฟิล โจนส์ ที่เติมเกมบุกขึ้นมาตรงกลางก่อนจะแทงออกขวาให้ แอชลีย์ ยัง หลุดเข้าไปกระดกบอลข้ามตัว มาร์เตน สเตเคเลนเบิร์ก เสียบเสาสองเข้าไปอย่างสวยงาม ตามมาเป๋น 2-2

        แต่แล้วช่วงทด เวลาบาดเจ็บ แฟนสิงโตคำรามต้องเงียบทั้งสนามเมื่อ อูร์บี้ เอมานูเอลสัน เติมเกมขึ้นมาทางซ้ายก่อนจะเปิดบอลเข้ากลางให้ ฟาน บอมเมล ดีดบอลต่อให้ อาร์เยน ร็อบเบน ได้ปั่นด้วยซ้ายลูกเสียบเสาสองหมดปัญญาที่ โจ ฮาร์ท จะป้องกันไว้ได้ กังหันลมนำ 3-2

        ช่วงที่เหลือ อังกฤษบุกหนักหวังตีเสมออีกครั้ง แต่ไม่มีจังหวะพังประตู จบเกมจึงพ่ายคารังให้ทีมเมืองกังหันลมไปอย่างสุดมันส์ 2-3

สู้ไม่ไหว!ไทยพ่ายโอมาน0-2ร่วงบอลโลก

ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนเอเชีย 
กลุ่ม ดี (นัดสุดท้าย)
วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555
โอมาน   2 - 0   ไทย

        "ขุนพลช้างศึก" ทีมชาติไทย สู้สุดความสามารถแต่สภาพทีมเป็นรองพ่ายให้กับ "เจ้าถิ่น" โอมาน 0-2 ทำให้ไทยต้องตกรอบอย่างน่าเสียดาย ในศึกฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก รอบสาม โซนเอเชีย นัดสุดท้าย กลุ่มดี ที่สนามบัวเซอร์ สปอร์ต คอมเพล็กซ์ กรุงมัสกัต ประเทศโอมาน ส่วนอีกคู่หนึ่ง ออสเตรเลีย ชนะ ซาอุดีอาระเบีย ขาด 4-2 ทำให้ ออสเตรเลีย กับ โอมาน จูงมือเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้ายต่อไป                                            
        สนามบัวเซอร์ สปอร์ต คอมเพล็กซ์ กรุงมัสกัต ประเทศโอมาน


        ศึก "ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก" รอบสาม โซนเอเชีย นัดสุดท้าย ที่สนามบัวเซอร์ สปอร์ต คอมเพล็กซ์ กรุงมัสกัต ประเทศโอมาน ระหว่าง "ขุนพลช้างศึก" ทีมชาติไทย กับ "เจ้าถิ่น" โอมาน ซึ่งจะแข่งเวลาเดียวกันกับคู่ของ ออสเตรเลีย ที่เปิดบ้านรับการมาเยือนของ ซาอุดีอาระเบีย โดยสายนี้ออสเตรเลียเข้ารอบไปแล้ว ส่วนทีมอันดับ 2 ยังได้ลุ้นกันถึง 3 ทีม ทั้ง ซาอุดีอาระเบีย, โอมาน และ ไทย ซึ่งทั้งสามทีมต้องเอาชนะกันให้ได้เพียงสถานเดียวถึงจะผ่านเข้าสู่รอบสุด ท้าย


        โดยเกมนี้ทีมชาติโอมานจะใส่ชุดสีแดงล้วน ซึ่งเป็นชุดเก่งลงสนาม ส่วนทีมชาติไทยจะใส่ชุดสีน้ำเงิน สำหรับสถิติในการเจอกันมาตั้งแต่ปี 1986 เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 10 เสมอ 0-0, ปี 1998 เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 13 ไทย ชนะ โอมาน 2-0, ปี 2001 เอเชียนคัพ รอบคัดเลือก ไทย ชนะ โอมาน 2-0, เอเชียนคัพ 2004 โอมาน ชนะ ไทย 2-0


        ในปี 2005 คิงส์คัพ ไทย ชนะ โอมาน 1-0, เอเชียนคัพ 2007 ไทย ชนะ โอมาน 2-0, ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกปี 2008 โอมาน ชนะ ไทย 1-0 (เยือน), โอมมาน ชนะ ไทย 2-1 (เหย้า) และนัดล่าสุด ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกปี 2011 ไทย ชนะ โอมาน 3-0 (เหย้า) สรุปสถิติเจอกันมารวมทุกรายการ 9 นัด ไทยชนะ 5 ครั้ง เสมอ 1 ครั้ง แพ้ 3 ครั้ง ยิงได้ 10 ลูกเสีย 5 ลูก


     สำหรับ 11 ผู้เล่นของทีมชาติไทยที่ถูกส่งลงสนามในระบบ 4-2-3-1 ประกอบไปด้วย กวิน ธรรมสัจจานันท์ เฝ้าเสา แบ็กซ้าย อนุชา กิจพงษ์ศรี ส่วนคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟ จะเป็นการประสานงานกันระหว่างสองจอมเก๋า นิเวส ศิริวงศ์ กับ เจษฎา จิตสวัสดิ์ ฟากแบ็กขวา สุรีย์ สุขะ ได้ลงล็อกในตำแหน่งที่ตัวเองถนัด


     ตำแหน่งกองกลางตัวตัดเกมจับเอา จักรพันธ์ แก้วพรม ยืนคู่กับ พิชิตพงษ์ เฉยฉิว แล้วโยกเอา สุธี สุขสมกิจ ทำเกมริมเส้นด้านซ้าย ทางกราบขวาใช้ สุเชาว์ นุชนุ่ม ซึ่งมีความเร็วเป็นตัวทะลุทะลวง และวาง จีรวัฒน์ มัครมย์ เป็นหน้าต่ำ แล้วให้ ธีรศิลป์ แดงดา เป็นกองหน้าตัวเป้า


     ด้าน ปอล เลอ กูแอ็น กุนซือทีมชาติโอมาน นั้นจะเปิดเกมรุกอย่างเต็มตัวแน่นอน โดยมี มูบารัค กับ อัลอาสมี่ เป็นสองประสานในเกมรับ ด้านแดนกลางมีตัวอันตรายอยู่ที่เกมริมเส้นทั้งซ้าย-ขวา คือ ฟาร์ไซ กับ ราจาบ เป็นตัวขับเคลื่อนเกม ขณะที่คู่กองหน้าส่ง ออสนี่ กับ อซิก เป็นตัวทะลวงเป้า


เริ่มเกมมาช่วง 5 นาทีแรก ทั้งสองทีมยังดูเชิงกันอยุ่ เกมส่วนใหญ่อยู่ที่กลางสนาม

 ไทย มาพลาดเสียประตูจนได้จากจังหวะโยนยาวจากแดนกลางมาที่ริมเส้นทางขวาก่อนที่ กองกลางของโอมานจะจ่ายให้ ฮุสเซน อัล ฮาดรี้ วิ่งเข้ามาปั่นด้วยขวาบอลพุ่งไซด์หนีมือ กวิน ธรรมสัจจานันท์ เข้าประตูไปอย่างสวยงาม โอมาน นำแล้ว 1-0 ในนาทีที่ 8

อีก 3 นาทีต่อมา ไทยเปิดเกมแลก และมีโอกาสลุ้นทำประตูเมื่อ สุธี สุขสมกิจ ได้บอลจากด้านข้างก่อนสบจังหวะซัดด้วยซ้ายข้างถนัดแต่บอลเหินข้ามคานไปไกล

เข้า สู่นาทีที่ 15 ไทยมาเสียกระบวนเมื่อโดนนำเร็ว ทำให้ต้องมาเน้นเกมรุก แผงหลังจึงมีช่องโหว่และเกือบมาโดนนำห่างหลัง กวิน ธรรมสัจจานันท์ ชกบอลจากเปิดมาของโอมานบอลยังไม่พ้นอันตราย บอลมาเข้าทาง อาเหม็ด อัล ฮอสนี่ กองหน้าตัวเก่งโหม่งเต็มแรงแต่ กวิน ยังเซฟไว้ได้หวุดหวิด

โอมาน กลับไปแพ็กเกมรับแน่น เน้นคุมโซนปล่อยให้ ไทย เป็นฝ่ายครองเกม แต่ไม่มีจังหวะหลุดถึงกรอบเขตโทษ

 นาที ที่ 28 อับดุล อาลี มูไคนี่ มาโดนใบเหลืองใบแรกเมื่อไปทำฟาลว์ผู้เล่นของไทย ไทยได้ฟรีคิกกลางกรอบเตโทษ แต่ จีรวัฒน์ มัครมย์ ซัดข้ามคานไปไม่ได้ลุ้น

นาทีที่ 35 อิสมาอิล อัล อัจมี่ ดาวยิงโอมานได้โอกาสหลุดไปยิงตัวต่อตัวกับ กวิน ธรรมสัจจานันท์ แต่ไลน์แมนยกธงล้ำหน้าไปก่อนแล้ว

 ไทย เปลี่ยนผู้เล่นคนแรกอย่างรวดเร็ว เมื่อ สุเชาว์ นุชนุ่ม มีอาการบาดเจ็บรบกวนเล่นต่อไม่ไหว ต้องส่ง สุมัญญา ปุริสาย ลงไปแทน ในนาทีที่ 37

โมนเกือบได้ลุกสองเมื่อ ฮัสซัน ราเบีย กองกลางลากบอลเลี้ยงไปเองก่อนสับไกลจากระยะร่วม 25 หลาบอลพุ่งเรียดถากเสาแรกออกไปอย่างเสียวไส้ของกองเชียร์ไทย

ช่วง ท้ายเกม โอมาน กลับมาบุกได้ต่อเนื่องอีกครั้งและ อาเหม็ด อัล ฮอสนี่ หัวหอกโอมานได้โอกาสยิงเต็มข้อหน้ากรอบเขตโทษบอลพุ่งผ่านมือของ กวิน ธรรมสัจจานันท์ แต่บอลเจ้ากรรมพุ่งชนคานดังสนั่น ไทยรอดเสียประตูที่สองไปหวุดหวิด

ก่อนจบครึ่งเวลาแรกด้วยสกอร์นี้ โอมาน นำ ไทย 1-0

เข้าสุ่ครึ่งหลังไม่กี่นาที โอมาน ได้จังหวะทักทายก่อนเมื่อ อิสมาอิล อัล อัจมี่ ได้โหม่ง แต่บอลเบาหลุดออกหลังไป

 ไทยมาโดนใบเหลืองบ้างเมื่อ เจษฎา จิตสวัสดิ์ แนวรับตัวเก๋าไปเสียบ ฮัสซัน ราเบีย อย่างน่าเกลียด ในนาทีที่ 53

ผ่าน มา 1 ชั่วโมงเต็มเกมของ "ขุนพลช้างศึก" ยังไม่ดีขึ้น รูปเกมสู้เจ้าถิ่นไม่ได้เลย โอมานทำเกมได้น้ำได้เนื้อกว่าและได้โอกาสทำประตูจาก อับดุล อาลี มูไคนี่ แต่ยังไม่ตรงกรอบ

 วิ นฟรีด เชเฟอร์ เฮดโค้ชชาวเยอรมัน ปรับแท็คติกเดินเกมรุกเต็มตัวโดยถอด จักรพันธ์ แก้วพรม ออกและส่ง ธีรเทพ วิโนทัย มาเสริมในแดนหน้าช่วย ธีรศิลป์ แดงดา ในนาทีที่ 65

3 นาทีถัดมาไทยได้เดินเกมรุกโดย สุรีย์ สุขะ ได้บอลยาวจากแดนหลังก่อนเปิดหักเข้ามาหน้าเขตโทษ แต่บอลออกหลังไปก่อนแล้ว

"ช้าง ศึก" ชวดได้ประตูตีเสมออย่างน่าเสียดายเมื่อ ธีรเทพ วิโนทัย ตัวสำรอง ได้บอลหลุดมาทางกราบขวาโล่งๆ ก่อนลากเข้ามาในเขตโทษ แตะหลบกองหลังโอมาน ก่อนยิงหักข้อกะเสียบเสาแรกแต่บอลกลับพุ่งไปชนโคนเสาเต็มๆ ในนาทีที่ 72

 ไทยเปลี่ยนคนสุดท้ายส่ง ชาตรี ฉิมทะเล มาแทน สุธี สุขสมกิจ ในตำแหน่งหัวหอกตัวเป้า

ใน นาทีที่ 79 โอมานเกือบได้ประตูตอกฝาโลงเมื่อจังหวะทำชิ่งหน้าเขตโทษของไทยก่อน อาเหม็ด อัล ฮอสนี่ ได้หลุดมายิงโล่งๆ แต่กลับยิงเหินข้ามคานไปอย่างไม่น่าเชื่อ

เกม เข้าสู่ช่วง 10 นาทีสุดท้าย โอมาน เน้นรัดกุมมากขึ้น ครองเกมไม่ให้เสียบอลเพราะหากเก็บชัยชนะก็จะเข้ารอบทันที เพราะอีกคู่ในกลุ่มเดียวกัน ออสเตรเลีย นำ ซาอุฯ ห่าง 4-2

 ธีร เทพ วิโนทัย กองหน้าตัวสำรองมาโดนใบแดง หลังเข้าบอลช้าและขาไปพาดเอาตรงบริเวณลำคอของกองหลังโอมาน ผู้ตัดสินไม่ลังเลชูใบแดงทันที ในนาทีที่ 85 ทำให้สถานการณ์ของไทยลำบากขึ้นไปอีก

 โอมาน มาได้ประตูปิดกล่องจนได้ในนาทีสุดท้าย เมื่อ อับดุล อาซิด มูบารัค กองหน้าของโอมาน ได้บอลจากกลางสนามก่อนลากเดี่ยวเข้าไปในเขตโทษเบียดเอาชนะ นิเวส ศิริวงศ์ และยิงทันทีบอลพุ่งเรียดเสียบเสาแรกหมดจด โอมานนำห่าง 2-0

เวลา ที่เหลือโอมานคุมเกมไว้ได้หมดก่อนหมดเวลา โอมานเป็นฝ่ายได้เฮ! หลังเปิดรังเอาชนะ ทีมชาติไทย ไป 2-0 และเป็นฝ่ายเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้ายต่อไปตามหลัง ออสเตรเลีย ที่ชนะ ซาอุดีอาระเบีย 4-2 ส่วน ไทย กับ ซาอุดีอาระเบีย ต้องร่วงตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย

รายชื่อนักเตะของทั้งสองทีม
โอมาน (4-4-2) : อาลี อัล ฮับซี - อาลี อัล จาบรี้, โมฮาเหม็ด อัล บาลูชี่, ฮุสเซน อัล ฮาดรี้, ฟูซี่ บาเชียร์ - ซาอัด อัล มูไคนี่, อับดุล อาลี มูไคนี่, อับดุล อัล มากบาลี่, ฮัสซัน ราเบีย - อาเหม็ด อัล ฮอสนี่, อิสมาอิล อัล อัจมี่
เทรนเนอร์ : ปอล เลอ กูแอ็น

ไทย (4-2-3-1) : กวิน ธรรมสัจจานันท์ - สุรีย์ สุขะ, นิเวส ศิริวงศ์, เจษฎา จิตสวัสดิ์, อนุชา กิจพงษ์ศรี - จักรพันธ์ แก้วพรม, พิชิตพงษ์ เฉยฉิว - สุเชาว์ นุชนุ่ม, จีรวัฒน์ มัครมย์, สุธี สุขสมกิจ - ธีรศิลป์ แดงดา
เทรนเนอร์ : วินฟรีด เชเฟอร์ 

ไฮไลท์แมตช์ บราซิล VS บอสเนีย Friendly Match - แซมบ้าอุ่นฝืด! แข้งบอสเนีย OG ถวายชัยหวิว 2-1 12bet 29/02/2555

วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555



"แซมบ้า" บราซิล หวิดเสียรังวัดในเกมกระชับมิตร หลังจากต้องพึ่งลูกทำเข้าประตูตัวเองจากซาซ่า ปาปัค นักเตะของบอสเนีย เป็นประตูชัย ช่วงทดเจ็บ 2-1 ในเกมกระชับมิตร ทีมชาติ ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อคืนวันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผ่านมา

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 


ฟุตบอลอุ่นเครื่องทีมชาติ
บอสเนีย 1-2 บราซิล 










เกมนัดนี้เล่นกันที่สนามเอเอฟจี อารีน่า, แซงต์ กัลเล่น ในประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ 


บราซิล ไม่มีไมค่อน และลูซิโอ สองปราการหลังจากอินเตอร์ มิลาน เช่นเดียวกับ ปาโต้ และโรบินโญ่ สองตัวรุกจาก เอซี มิลาน แต่ว่าได้เหยินน้อย โรนัลดินโญ่ กลับมาเป็นตัวยืนในแดนหน้า


ขณะที่บอสเนีย มีเอดิน เซโก้ กองหน้าร่างยักษ์ จากทีม เรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้  ลงมาล่าตาข่ายกับ เวดัด อิบิเซวิช หัวหอกจากสโมสรฟาวเอฟเบ สตุ๊ตการ์ท

เป็นบราซิลที่ได้ครองบอลกันก่อนและจากการเข้าทำกันครั้งแรกก็ได้ประตูเลยในนาทีที่ 4เมื่อเนย์มาร์ไหลบอลออกไปทางซ้ายให้กับมาร์เซโล่ที่วิ่งเติมขึ้นมาก่อนจะซัดด้วยซ้ายแบบไม่ต้องจับบอลพุ่งเสียบเสาไกลเข้าประตูไป บราซิลขึ้นนำ 1-0



นาทีที่ 8 ของเกมเนย์มาร์ก็ถูกเสียบร่วงเลยหลังลากบอลขึ้นมาจากกลางสนามแต่จังหวะสุดท้ายที่จะแตะเข้าเขตโทษก็ถูกกองหลังบอสเนียเสียบร่วงไปนอนกับพื้นทีเดียว 2 นาทีต่อมาเนย์มาร์คนเดิมก็ถูกกระแทกเข้าทางด้านหลังล้มไปกองอีกที เกมนี้ดูเหมือนว่าแฟนบอลจะโห่นักเตะแดนกาแฟอยู่ตลอดสงสัยเป็นเพราะเตะในยุโรปนั่นเอง ที่น่ากลัวคือมีพลุและไฟแช็กปาลงมาด้วย



นาทีที่ 13 บอสเนียก็มาได้ประตูตีเสมออย่างรวดเร็วเมื่ออิบิเซวิชวิ่งเข้าหาบอลที่กองกลางแทงมาให้เบียดไปกับลูอิซก่อนจะซัดด้วยขวา เซซ่าร์กะจังหวะล้มรับไม่ดีทำให้บอลปลิ้นเข้าประตูไป เสมอกัน 1-1



นาทีที่ 20 ทัพ"เซเลเซา"น่าได้ประตูขึ้นนำแบบสุดๆเมื่อดามิเยาวิ่งหลุดกับดักล้ำหน้าขึ้นไปก่อนที่จะยิงไปติดมือของเบโกวิชบอลไปเข้าทางของเอร์นาเนสวิ่งเข้ามายิงด้วยซ้ายโกล์โล่งๆ แต่กองหลังบอสเนียก็สไลด์เข้ามากดดันได้ทันทำให้กองกลางจากลาซิโอยิงหลุดกรอบไปแบบเหลือเชื่อ

เกมสนุกเร้าใจทีเดียว นาทีที่ 26 เลอันโดร ดามิเยา หัวหอกของบราซิล ได้ซัดด้วยซ้ายบอลไปตรงตัวของ อัสมีร์ เบโกวิช นายทวารบอสเนียฯ




นาทีต่อมา ดาเนี่ยล อัลเวส ลองส่องไกลด้วยขวาจากระยะประมาณ 30 หลาบอลพุ่งตกพื้นหนึ่งครั้ง  อัสมีร์ เบโกวิช นายทวารของบอสเนียฯ ไม่แน่ใจเลยต้องปัดทิ้งออกหลังไป




บอสเนียฯ มีโต้เหมือนกันในนาทีที่ 33 เมื่อ เวดัด อิบิเซวิช พาบอลมาจ่ายออกทางด้านขวาให้กับ เอดิน เชโก้ ซัดด้วยซ้าย แต่วางเท้าไม่ดีบอลเลยไม่เข้ากรอบ 



ครึ่งหลังยังไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่น ส่วนรูปเกมบอสเนียเริ่มต่อบอลบุกกดดันบราซิลได้มากขึ้นแต่ยังหาโอกาสเข้าทำกันไม่ค่อยได้และในนาทีที่ 50 เนย์มาร์ก็ได้บอลบริเวณหน้ากรอบเขตโทษก็จะเลี้ยงหาช่องแล้วซัดด้วยขวาแต่บอลก็พุ่งไปตรงตัวเบโกวิชที่ยืนถูกตำแหน่งรับไว้ได้สบาย



นาทีที่ 55 บอสเนียก็มีโอกาสได้ลุ้นบ้างเมื่อปานิชวิ่งสอดขึ้นไปจากตรงกลางก่อนจะพักอกเอาบอลลงได้ในเขตโทษแต่จังหวะต่อมาดันกั๊กๆกับเซโก้ก่อนที่ดาวยิงของแมนเชสเตอร์ ซิตี้จะซัดด้วยซ้ายบอลแฉลบกองหลังแซมบ้าออกไป



2 นาทีต่อมาบอสเนียก็ได้เสียวกันอีกครั้งเมื่อเซโก้ลองยิงจากนอกกรอบเขตโทศแต่บอลพุ่งไปเข้าเท้าของมิซิโมวิชจับหนึ่งจังหวะก่อนยิงด้วยขวาบอลหลุดเสาไปนิดเดียวเท่านั้น



เหลือเวลาอีก 20 นาทีบราซิลก็ได้โอกาสลุ้นจากลูกฟรีคิกของอัลเวสแต่แบ็กซ้ายจากบาร์ซ่าก็ซัดข้ามคานออกไปไกล จังหวะต่อมาบอสเนียใช้บอลยาวบุกสวนขึ้นมาบ้างแต่เซโก้ก็ยิงเหินข้ามคานเช่นกัน



นาทีที่ 71 มาร์เซโล่ก็ได้จังหวะลากตะลุยขึ้นไปทางกราบซ้ายก่อนล็อกบอลหลบผู้เล่นบอสเนีย 2 คนตัดเข้ามาข้างในแต่จังหวะยิงต้องใช้เท้าขวาข้างไม่ถนัดทำให้ไปติดบล็อกก่อนที่ผู้เล่นบอสเนียจะเคลียร์ทิ้งออกไปได้ 2 นาทีต่อมาเนย์มาร์ก็ลากขึ้นมาในเขตโทษและพยายามจะปั่นโค้งด้วยขวาแต่เบโกวิชก็อ่านทางออกล้มตัวคว้าหมับไว้ได้



ในช่วงท้ายเกมแข้งแซมบ้าพยายามจะเร่งเพื่อเอาประตูชัยให้ได้และก็ทำได้สำเร็จในช่วงทดเวลานาทีแรกเมื่อบราซิลต่อบอลกันขึ้นมาแล้วก็เป็นฮัล์คที่เปิดบอลยัดมากลางประตูถูกซาซ่า ปาปัชเซ็นเตอร์แบ็คบอสเนียเข้าประตูไป จบเกมบราซิลเฉือนเอาชนะไปได้ 2-1

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม 
บอสเนีย : อัสมีร์ เบโกวิช, บอริส ปันซ่า, เอมีร์ สปาฮิช, ซาเนล จาฮิช, ซาซ่า ปาปัช, เอลเวร์ ราฮิมิช, ฮาริส เมดูนจานิน(ซาฮิโรวิช น.78), มิราเล็ม ปานิช(มาเลติช น.81), สเวดาน มิซิโมวิช(อิบิซิช น.89), เอดิน เซโก้, เวดาด อิบิเซวิช(ซาลิโฮวิช น.78)


บราซิล : ฮูลิโอ เซซ่าร์, ดาเนี่ยล อัลเวส, ดาวิด ลูอิซ, มาร์เซโล่, ธิอาโก้ ซิลวา, เฟร์นานดินโญ่, เอร์นาเนส(ฮัล์ค น.66), ซานโดร(เอลิอาส น.57), เลอันโดร ดามิเยา(ลูคัส น.81), โรนัลดินโญ่(กานโซ่ น.62), เนย์มาร์(โฮนาส น.92)

ไฮไลท์ คลิปเด็ก 13 โชว์เทพจ่อเซ็นสัญญากับราชันชุดขาว 12bet 28/02/2555

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555



"ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด ใกล้จะได้สตาร์อายุน้อยคนใหม่มาปัั้นเพิ่มอีกคนแล้ว หลังจากเรียก หลุยซ์ เอ็นริเก้ ดอส ซานโตส ไอ้หนูบราซิลเลี่ยน วัย 13 ปีที่โชว์เทพในคลิปยูทูปมาทดสอบฝีเท้า 






ไอ้หนูดอส ซานโตส หรือชื่อเล่น เปติ ถูกคุณพ่อถ่ายคลิปวิดีโอการเล่นตั้งแต่ยังเด็ก ก่อนจะนำมาอัพโหลดบนเว็บไซต์ยูทูป จนหลายทีมยักษ์ใหญ่ให้ความสนใจอย่างมาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรอัล มาดริด ที่เชิญมาทดสอบฝีเท้ากันเลยทีเดียว




"ในตอนแรกเราได้รับการติดต่อจากเรอัล เบติส แต่เราไม่สามารถตกลงกันเรื่องสัญญาได้ มันเป็นเรื่องน่าเศร้า"




"แต่จากนั้นเราก็ได้รับโทรศัพท์จากเรอัล มาดริดพวกเขาบอกว่าทึ่งในฝีเท้าของเปติมากๆ และอยากให้ไปร่วมทดสอบกับเรอัล เด็กๆที่นี่ฝีเท้าดี และมีความรวดเร็วกันมาก และเรื่องภาษามันก็ยุ่งยากนิดหน่อย แต่เราก็พอถูไถไปได้"

ไฮไลท์ คลิปโรนัลโด้โชว์ลูกส้น VS เมสซี่ลักไก่ 12bet 28/02/2555


ประตูไหนสวยคลาสสิกกว่ากัน ระหว่างลูกดีดหลังในกรอบโทษของคริเตียโน่ โรนัลโด้ ในเกมที่เรอัล มาดริดออกไปเฉือนชนะราโย่ บาเยกาโน่ 






หรือลูกยิงฟรีคิกลักไก่ไม่ให้ตั้งตัวของลีโอเนล เมสซี่ ช่วยให้บาร์เซโลน่าเอาชนะแอตฯ มาดริด 2-1







ไฮไลท์แมตช์ นาโปลี VS อินเตอร์ มิลาน Series A Italy - งูเจ๊งเกมที่ห้าติด ! นาโปลี 10 คนยิงดับอนาถ 1-0 12bet 27/02/2555

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555



"งูใหญ่" อินเตอร์ มิลาน ฟอร์มยังคงย่ำแย่ แพ้เป็นเกมที่ 5 ติดต่อกันในลีก ล่าสุดบุกพ่ายให้กับ นาโปลีที่เหลือ 10 ตัว เจ้าถิ่น 0-1 จากประตูชัยของเอเซเกล ลาเวซซี่ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา 




วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2555


ฟุตบอล กัลโช่ เซเรีย อา  อิตาลี
นาโปลี 1-0 อินเตอร์ มิลาน










นาโปลี ทำศึกบิ๊กแมตช์ด้วยการเปิด สตาดิโอ ซาน เปาโล รอรับ อินเตอร์ มิลาน เจ้าถิ่นต้องขาด มาเร็ค ฮัมซิค ที่ติดโทษแบน ทำให้เลือกส่ง เบลริม เซมายลี่, เอเซเกล ลาเวซซี่ และ เอดินสัน คาวานี่ เป็นสามประสานแนวรุก 


ขณะที่อินเตอร์ ทีมเยือนไร้ ลุค คาสไตยอส ที่ถูกพักแข้ง 3 นัด แต่ยังมี เวสลี่ย์ สไนจ์เดอร์ ยืนเป็นเพลย์เมกเกอร์อยู่หลังคู่หัวหอก ดีเอโก้ ฟอร์ลัน กับ ดีเอโก้ มิลิโต้


เริ่มเกมมาไม่ทันไร เจ้าบ้านบุกใส่ทันที จากลูกเตะมุม โกคาน อินแลร์ เก็บตกส่องไกลด้วยซ้าย แต่ ชูลิโอ เซซาร์ ยังล้มตัวรับเข้าซอง แต่จากนั้นไม่กี่จังหวะตอบโต้ทันควัน สไนเดอร์ ครอสจากซ้าย เอสเตบัน กัมบิอัสโซ่ ป้ายต่อจะให้ มิลิโต้ ชาร์จไม่ถึงไปนิดเดียว


นาทีที่ 24 ฮวน ซูนิก้า จ่ายให้ เซมายลี่ ซัดด้วยขวาบริเวณมุมเขตโทษฝั่งซ้าย กระนั้น เซซาร์ เหินซูเปอร์เซฟปัดออกหลังได้อย่างยอดเยี่ยม


ถัดมาไม่นาน ลาเวซซี่ เปิดฟรีคิกให้ คาวานี่ เทกตัวโหม่งไม่โดน แต่กลายเป็นมาชนไหล บอลลอยย้อยข้ามคานไปแบบได้เสียว


ก่อนจะหมดครึ่งเวลาแรกไม่กี่นาที อินเตอร์ เพิ่งมีโอกาสได้ลุ้นจังๆจากฟรีคิกระยะ 25 หลาระยะทำการ สแตนโควิช เขี่ยเปลี่ยนจุดให้ สไนจ์เดอร์ ตะบันเต็มข้อบอลเหินข้ามคานนิดเดียวจบครึ่งแรกเสมอ 0-0

ครึ่งหลังยังเป็นหนังม้วนเดิม นาโปลีครองบอลมากกว่าน่าขึ้นนำในนาที 52 ซุนญิก้า ครอสออกเสาไกลให้ คริสเตียน มาจโจ้ โฉบโขกโดนไม่เต็มหัวหลุดกรอบอย่างน่าเสียดาย


กระทั่งให้หลังได้ 7 นาที ทีมอัซซูร่ามาได้ประตูนำสมใจซะที ต้องชม บเลริม เชมายลี่ แย่งบอลได้เล่นชิ่งทะลุมาหน้าประตูจิ้มออกซ้ายให้ ลาเวซซี่ เอี้ยวตัวยิงด้วยขวาพาบอลโค้งเช็ดเสาสองเสียบตาข่ายอย่างสวยงาม 1-0




เกมดำเนินมาถึงนาที 79 เจ้าบ้านเหลือผู้เล่น 10 คนหลังจาก ซัลวาตอเร่ อโรนิก้า ที่ยืนเป็นกองหลังตัวสุดท้ายไปเสียบ อันเดรีย โปลี โดนชักใบแดงไล่พ้นสนามทันที แต่อินเตอร์ก็มิอาจฉกฉวยโอกาสเอาไว้ได้ จบเกมนาโปลีเชือด 1-0 ทำให้ทีมงูใหญ่ปราชัย 4 นัดรวดรวมทุกรายการโดยยิงไม่ได้สักลูกเดียว




รายชื่อนักเตะทั้งสองทีม
นาโปลี : มอร์แกน เด ซานช์ติส; อูโก้ คัมปันญาโร่, เปาโล คันนาวาโร่, ซัลวาตอเร่ อาโรนิก้า; คริสเตียน มาจโจ้, วอลเตอร์ การ์กาโน่, โกคาน อินแลร์, ฮวน ซูนิก้า; เบลริม เซมายลี่, เอเซเกล ลาเวซซี่; เอดินสัน คาวานี่


อินเตอร์ : ชูลิโอ เซซาร์; ดาวิเด้ ฟาราโอนี่, ลูซิโอ, วอลเตอร์ ซามูเอล, ยูโตะ นากาโตโมะ; ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ, เดยัน สแตนโกวิช, เอสเตบัน กัมบิอัสโซ่; เวสลี่ย์ สไนเดอร์; ดีเอโก้ ฟอร์ลัน, ดีเอโก้ มิลิโต้


ผลฟุตบอลกัลโช่ เซเรีย อาคืนวันอาทิตย์
อตาลันต้า ชนะ โรม่า 4-1
กายาร่ แพ้ เลชเช่ 1-2
คาตาเนีย ชนะ โนวาร่า 3-1
คิเอโว่ ชนะ เชเซน่า 1-0
เซียน่า ชนะ ปาแลร์โม่ 4-1
โบโลญญ่า แพ้ อูดิเนเซ่ 1-3
ลาซิโอ ชนะ ฟิออเรนติน่า 1-0
นาโปลี ชนะ อินเตอร์ มิลาน 1-0

ไฮไลท์แมตช์ราโญา บาเญกาโน่ VS เรอัล มาดริด La Liga - โด้ดีดส้นพาราชันสะบั้นราโยหวิว 1-0 12bet 27/02/2555



เรอัล มาดริด ยังคงแต้มทิ้งห่างบาร์เซโลน่าไว้ได้เท่าเดิม โดยได้ประตูชัยจากคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ตอกส้นเข้าไปตั้งแค่ช่วงต้นครึ่งหลัง ให้ราชันชุดขาวบุกปราบราโญ่ บาเยกาโน่้ แบบหวุดหวิด 1-0 ในเกม ลา ลีกาประเทศสเปน เมื่อวันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา 
  


วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2555 


ฟุตบอลลา ลีกา สเปน
ราโญ่ บาเญกาโน่ 0-1 เรอัล มาดริด 







"ราชันชุดขาว" บุกเยือน เอสตาดิโอ เด บาเยกาส ของ  ราโญ บาเญกาโน่ นัดนี้ส่งชุดใหญ่ครบครันทั้ง เมซุต โอซิล, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และกอนซาโล่ อิกวาอิน ส่วนเจ้าบ้านวาง ดีเอโก้ คอสต้า ยืนหน้าเป้า


นาที 9 มาร์เซโล่ก็วางบอลยาวจากทางกราบซ้ายเข้าไปยังที่ว่างในกรอบเขตโทษให้โอซิลแต่เมื่อจอมทัพเยอรมันเอาบอลลงได้ก็ถูกอาร์ริบาสเข้ามาสกัดออกหลังได้เสียก่อนจะทันได้ง้างไก



หลังปล่อยให้ราโญ่บุกเข้าใส่อยู่พักนึงทาง"ราชันชุดขาว"ก็กลับมาตั้งหลักได้โดยนาที 20 อิกวาอินทะลุกับดักล้ำหน้าลากหาเขตโทษโดยมีอาร์ริบาสไล่ตามติดมาก่อนที่แข้งอาร์เจนไตน์จะถูกโฆเอลวิ่งมาล้มตัวสกัดบอลไว้ได้

โชคดีจัง!รามอสชักศอกไม่โดนแดง 
นาทีถัดมา"โลส บัลโกส"โชคดีที่ไม่เหลือผู้เล่นเพียงสิบคนเมื่อรามอสไปเล่นนอกเกมหลังเหลือบเห็นคอสต้าวิ่งมาด้านหลังเขาก็ชักศอกขึ้นมาดักรอจนโดนคางกองหน้าเจ้าบ้านหงายเงิบแต่ผู้ตัดสินไม่ได้เป่าฟาวล์อะไร

วัดระยะ!โรนัลโด้ยิงไกล 2 หนหลุดกรอบ 
หลังจากนั้นเป็นเวลาของโรนัลโด้บ้างเมื่อนาที 25 เขาครองบอลอยู่ทางริมเส้นฝั่งซ้ายก่อนดึงบอลหนีตัวประกบจนมุมเปิดแล้วส่องไกลทันทีบอลพุ่งผ่านหน้าประตูไปแล้วไม่กี่อึดใจเจ้าตัวก็ลากมายิงหน้าเขตโทษอีกแต่หลุดเสาขวา

ราชันเกือบแย่!ปีติอัดชนเสา 
ท้ายครึ่งแรกนาที 40 ราโญหวิดพังประตูขึ้นนำก่อนเมื่ออาร์เมนเตรอสวาบอลยาวจากทางด้านขวามาให้ปิติทางฝั่งซ้ายของกรอบเขตโทษก่อนที่เขาล็อกหลบตัวประกบตัดเข้าในมายิงผ่านคาซิญาสไปอัดเสาไกลกระดอนออกมา

จบครึ่งแรกของ"มาดริดดาร์บี้"ยังเสมอกัน 0-0 แต่ฝั่งราโญที่มีกุนซือใจถึงอย่างซันโดวาลซึ่งทำทีมเน้นเกมรุกแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมก็เล่นงานเรอัล มาดริดจนหนาวๆร้อนๆไปเหมือนกัน







กลับมาเล่นครึ่งหลังได้ถึงนาที 54 โอซิลเปิดลูกเตะมุมฝั่งซ้ายเข้ามาแล้วแนวรับราโญเคลียร์กันไม่ขาดลูกหลุดไปเข้าทางโรนัลโด้ที่หันหลังให้ประตูเลยตัดสินใจตอกส้นไปเสียบโคนเสาแรกอย่างฮือฮาให้"ราชันชุดขาว"ขึ้นนำ 1-0


ไม่กี่นาทีถัดมา"โลส บลังโกส"ได้ลูกฟรีคิกทางกราบซ้ายซึ่งอลองโซ่จัดการปั่นบอลโค้งแบบกึ่งยิงกึ่งผ่านจนเกือบมุดเข้าเสียบสามเหลี่ยมบนเสาไกลแต่โฆเอลยังไหวตัวใช้มือข้างเดียวบินปัดออกไปได้อย่างหวุดหวิด


หลังจากนั้นโรนัลโด้มาเรียกฟาวล์จากคาซาโด้ได้ที่หน้ากรอบเขตโทษก่อนที่เขาลุกขึ้นมายืนเต๊ะท่าตามสไตล์แล้ววิ่งเข้าซัดตูมเดียวพุ่งเข้าประตูอย่างกับมิดไซด์แต่โฆเอลนายด่านที่มีแอต.มาดริดเป็นเจ้าของชาร์จพลังรับไว้ได้



นาที 75 คาซิญาสเกือบงานเข้าหลังอุตส่าห์ชกลูกเตะมุมทิ้งออกไปหน้าเขตโทษดีแล้วแต่ติโต้ยังสับเท้าวิ่งเข้ามากดเต็มเตี่ยจากระยะร่วม 35 หลาสวนกลับที่สามเหลี่ยมบนเสาขวาแต่นานด่านเวิร์ลด์คลาสดีดตัวบินปัดทิ้งได้ทัน



ฟรีคิกของโรนัลโด้หวิดมาทำงานในนาที 85 หลังเรอัล มาดริดได้ฟาวล์หน้ากรอบเขตโทษเยื้องฝั่งซ้ายแล้วปีกโปรตุกีสก็วิ่งเข้าอัดบอลลอยข้ามกำแพงมุดไปที่โคนเสาขวาแต่โฆเอลยังไวพุ่งตัวไปปัดเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม



ท้ายเกมราโญ่เหลือผู้เล่นสิบคนเมื่อมิชูไปโดนใบแดงจากจังหวะเข้าช้าใส่เคห์ดิร่า แต่เจ้าบ้านก็ยังเกือบได้ประตูตีเสมอจากลูกเตะมุมด้านซ้ายที่บอลถูกเปิดมายังเสาแรกให้ทราชอว์ราสโขกเช็ดมาเสาสองแต่อาร์เมนเตรอสดันหวดที่ระยะหลาเดียววืดเลยถูกเคลียร์ออกมาได้ ทำให้"ราชันชุดขาว"ได้โต้กลับก่อนไปลงเอยที่โรนัลโด้ยิงข้ามคาน

จบเกมเรอัล มาดริดบุกมาเก็บชัยชนะเหนือราโญ บาเญกาโน่ในศึก"มาดริดดาร์บี้"ได้สำเร็จจากการตอกส้นของโรนัลโด้ทำให้พวกเขาฉีกช่องว่างจากบาร์เซโลน่าที่ลงเตะทีหลังออกไปเป็น 13 คะแนนแล้ว





ผลฟุตบอลลา ลีกาคืนวันอาทิตย์
บียาร์เรอัล เสมอ แอตฯบิลเบา 2-2
โอซาวูน่า ชนะ กรานาด้า 2-1 
เรอัล โซเซียดัด ชนะ มายอร์ฏ้า 1-0
วาเลนเซีย แพ้ เซบีย่า 1-2
แอตฯมาดริด แพ้ บาร์เซโลน่า 1-2 

ไฮไลท์แมตช์ ลิเวอร์พูล VS คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ Carling Cup - หงส์แม่นโทษดับคาร์ดิฟฟ์ซิวคาร์ลิ่งสมัย 8 12bet 27/02/2555



"หงส์แดง" ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ คาร์ลิง คัพ  เป็นสมัยที่ 8 หลังจากดวลจุดโทษเอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี 3-2 หลังเสมอกัน 2-2 ในเวลา 120 นาที ของเกมรอบชิงชนะเลิศ ที่สนามเวมบลีย์ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 26 ก.พ. 2555



วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2555      


ฟุตบอลคาร์ลิง คัพ รอบชิงชนะเลิศ
คาร์ดิฟฟ์ ซิตี 1 - 1 ลิเวอร์พูล (หลังต่อเวลาพิเศษ 30 นาที เสมอ 2-2 ลิเวอร์พูล ดวลจุดโทษเอาชนะ 3-2)






       
ฟุตบอลคาร์ลิง คัพ รอบชิงชนะเลิศ ที่สนามเวมบลีย์ ระหว่าง คาร์ดิฟฟ์ ซิตี ทีมจากเดอะ แชมเปียนชิป พบกับ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล แห่งเวทีพรีเมียร์ชิป โดย คาร์ดิฟฟ์ เป็นทีมระดับต่ำกว่าพรีเมียร์ชิปทีมแรกนับแต่ปี 2001 ที่ผ่านเข้ามาชิงชนะเลิศ ลีก คัพ ขณะที่ ลิเวอร์พูล ซึ่งเข้าชิงชนะเลิศ ลีก คัพ เป็นครั้งที่ 11 และเคยคว้าแชมป์ 7 สมัยมากกว่าทุกทีม ก็เตรียมลุ้นแชมป์ลีก คัพ เป็นสมัยที่ 8 ของสโมสร


       

 เริ่มเกมมาเพียง 2 นาที ลิเวอร์พูล เกือบได้ประตูนำจากจังหวะที่ เจอร์ราร์ด กระชากบอลขึ้นมาหน้าเขตโทษ ถ่ายบอลมาให้ สจวร์ต ดาวนิง ก่อนที่ เกลน จอห์นสัน ได้บอลหน้าเขตโทษแล้วปั่นโค้งผ่านมือ ทอม ฮีตัน ผู้รักษาประตู คาร์ดิฟฟ์ แต่โชคร้ายบอลไปชนคาน


       
"หงส์แดง" เป็นฝ่ายครองเกมบุกดีกว่า แต่จังหวะสุดท้ายยังไม่เด็ดขาดพอ ขณะที่ คาร์ดิฟฟ์ ใช้การตั้งรับแล้วรอสวนกลับ กระทั่งเกมผ่านมาถึงนาที 19 ทีมต่อบอลกันขึ้นมาถึงหน้าเขตโทษของ ลิเวอร์พูล ก่อนที่ มิลเลอร์ แทงบอลให้ โจ เมสัน หลุดเดี่ยวเข้าไปดวลกับ เปเป เรนา แล้วซัดบอลลอดขานายด่านทีมชาติสเปนซุกก้นตาข่ายให้ทีมจากเดอะ แชมเปียนชิป ขึ้นนำ 1-0 แบบพลิกความคาดหมาย


       
หลังจากเสียประตู ลิเวอร์พูล พยายามทำเกมเพื่อทวงคืน ในนาที 30 จากจังหวะโต้กลับเร็ว โฆเซ เอนริเก ได้บอลหน้าเขตโทษ พยายามปั่นโค้งด้วยเท้าขวา บอลหลุดสามเหลี่ยมออกไป อีก 2 นาทีถัดมา กองหลัง คาร์ดิฟฟ์ เตะเคลียร์ทิ้งไม่ดี บอลออกมาเข้าทาง ชาร์ลี อดัม ซัดจากนอกเขตโทษเฉียดโคนเสาออกหลัง


       
ลูกทีมของ เคนนี ดัลกลิช ยังพับสนามบุก ในนาที 39 สจวร์ต ดาวนิง ได้บอลหลุดขึ้นมาทางกราบซ้ายจนสุดเส้นหลัง ก่อนเปิดมาหน้าประตู คาร์โรลล์ เข้าไม่ถึง แต่บอลเลยมาเข้าทาง เจอร์ราร์ด ซัดเหินข้ามคาน อีก 3 นาทีถัดมา ซัวเรซ ใช้ความสามารถเฉพาะตัวล็อกหลบกองหลังหน้าเขตโทษ ก่อนดีดด้วยขวาบอลไปตรงตัว ฮีตัน รับเข้าซอง


       
 ลิเวอร์พูล มีโอกาสลุ้นอีกครั้งในนาที 44 จากฟรีคิกหน้ากรอบเขตโทษ เจอร์ราร์ด เปิดไปให้ ดาเนียล แอกเกอร์ โหม่งเน้นๆ แต่ก็ยังตรงตัว ฮีตัน อีก สุดท้ายไม่สามารถตามตีเสมอได้ จบครึ่งแรก คาร์ดิฟฟ์ นำ 1-0
       


หลังจากรูปเกมยังไม่ดีขึ้นในครึ่งเวลาหลัง ดัลกลิชเปลี่ยนผู้เล่นคนแรกส่ง เครก เบลลามี ลงมาแทน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ในนาที 57 และอีก 3 นาทีถัดมา ลิเวอร์พูล ก็ทำประตูตามตีเสมอ 1-1 ได้สำเร็จจากลูกเตะมุม อดัม วางบอลไปเข้าหัว คาร์โรลล์ โหม่งชกมาหน้าประตู ซัวเรซ สะบัดต่อไปชนเสา แต่บอลยังมาเข้าทาง มาร์ติน สเคอร์เทล ซัดลอดขา ฮีตัน ซุกตาข่าย


       
"หงส์แดง" ได้ใจเดินหน้าบุกต่อในนาที 72 สเคอร์เทล มีโอกาสวอลเลย์มุมแคบจากลูกเตะมุม แต่ถูก ฮีตัน เซฟเอาไว้ได้ อีก 5 นาทีถัดมา ฮีตัน ออกแรงอีกครั้งพุ่งปัดลูกยิงจากนอกเขตโทษของ ดาวนิง ขณะที่ คาร์ดิฟฟ์ ก็มีจังหวะลุ้นประตูเช่นกันในนาที 83 ดอน คาวี เปิดบอลจากกราบซ้ายไปให้ เบน เทอร์เนอร์ ขึ้นโขกเสาสองออกหลัง


       
ช่วงท้ายเกมทั้งสองทีมแลกกันอย่างสนุก โดยนาที 85 ซัวเรซ เก็บบอลได้ทางริมเขตโทษด้านซ้าย ก่อนไหลเข้ากลาง อดัม วิ่งมาซัดไปตรงตัว ฮีตัน ขณะที่ คาร์ดิฟฟ์ เกือบทำประตูชัยในนาที 88 จากการเล่นฟรีคิกสั้น มิลเลอร์ หลุดเข้าเขตโทษ แต่กดไม่ลงซัดเหินข้ามคาน สุดท้ายไม่มีฝ่ายใดทำประตูเพิ่มอีกจบเกมเสมอกัน 1-1 ต้องไปเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที




       
ลิเวอร์พูล ทำเกมบุกต่อเมื่อกลับมาลงสนามอีกครั้ง แต่โอกาสหลายจังหวะยิงทิ้งยิงขว้างไปเอง เกมมาถึงนาที 104 ดัลกลิช ส่งไพ่ตายใบสุดท้าย เดิร์ก เคาท์ ลงมาแทนที่ คาร์โรลล์ และกองหน้าทีมชาติฮอลแลนด์เป็นทีเด็ดเมื่อยิงประตูนาที 107 ให้ทีมนำ 2-1 แต่ "หงส์แดง" รักษาสกอร์ไม่อยู่เสียประตูในนาที 118 จากลูกเตะมุมแล้ว เทอร์เนอร์ จิ้มบอลจ่อๆหน้าปากประตูเข้าไป สุดท้ายเสมอ 2-2 ทั้งสองทีมต้องไปดวลจุดโทษเพื่อตัดสินผู้ชนะ


       
ปรากฎว่า แอนโธนีย์ เจอร์ราร์ด ลูกพี่ลูกน้องของกัปตันทีม ลิเวอร์พูล ยิงไม่เข้าเองในลูกสุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะดวลจุดโทษ 3-2 คว้าแชมป์ได้สำเร็จ เป็นรายการแรกนับแต่ชนะ เอฟเอ คัพ เมื่อปี 2006


       
รายชื่อผู้เล่นตัวจริงทั้งสองทีม
คาร์ดิฟฟ์ ซิตี - ทอม ฮีตัน, เควิน แม็คนอห์ตัน, มาร์ก ฮัดสัน, แอนดรูว์ เทย์เลอร์, เบน เทอร์เนอร์, ดอน โควี, ปีเตอร์ วิททิงแฮม, เอรอน กุนนาร์สสัน, เคนนี มิลเลอร์, รูดีย์ เกสเตเด, โจ เมสัน


ลิเวอร์พูล - เปเป เรนา, เกลน จอห์นสัน, ดาเนียล แอกเกอร์, มาร์ติน สเคอร์เทล, โฆเซ เอนริเก, สตีเวน เจอร์ราร์ด, สจวร์ต ดาวนิง, ชาร์ลี อดัม, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, แอนดี คาร์โรลล์, หลุยส์ ซัวเรซ

ไฮไลท์แมตช์ นอริช ซิตี้ VS แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด Premier League - กิ๊กส์ฉลองเกม 900 ซัดทดเจ็บพาผีเชือดนอริช 2-1 26/02/2555



แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ประตูชัยจากไรอัน กิ๊กส์ ปีกพ่อมดชาวเวลส์ ที่ลงสนามเป็นเกมที่ 900 โดยปีศาจแดงมาได้ประตูชัยในช่วงทดเจ็บเอาชนะนอริช ซิตี้ไปอย่างลุ้นระทึก ขณะที่อาร์เซน่อลเอาชนะท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ได้ในเกมดาร์บี้ แมตช์ กรุงลอนดอนไปได้ 5-2 ในเกมพรีเมียร์ชิพ คืนวันอาทิตย์ที่ 26 กพ.ที่ผ่านมา


วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2555   
   
ฟุตบอลพรีเมียร์ลีค อังกฤษ
 นอริช ซิตี 1 - 2 แมนฯ ยูไนเต็ด 




      
เมื่อคืนวันเสาร์ "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี จ่าฝูงทำคะแนนฉีกหนี 5 แต้ม ด้าน "ผีแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ต้องพยายามเก็บสามคะแนนในการบุกเยือน "นกขมิ้นเหลืองอ่อน" นอริช ซิตี้ เพื่อลดส่วนต่างเหลือ 2 คะแนนอีกครั้ง สำหรับเกมนี้ทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยังต้องขาด เวย์น รูนีย์ กองหน้าตัวเก่ง เนื่องจากป่วยทำให้ แดนนี เวลเบ็ก ยืนล่าตาข่ายร่วมกับ ฮาเวียร์ "ชิชาริโต" เฮร์นานเดซ ขณะเดียวกัน ไรอัน กิ๊กส์ ปีกตัวเก๋าได้ลงสนามเป็นเกมที่ 900 ของตนเองให้ต้นสังกัด ทางฝั่งเจ้าถิ่นของกุนซือ พอล แลมเบิร์ต มีหัวหอกจอมโขกอย่าง แกรนท์ โฮลท์ เป็นตัวอันตรายแดนหน้า


      
เปิดฉากครึ่งแรก แมนฯ ยูไนเต็ด ออกสตาร์ทดีเพียงแค่ 7 นาทีก็ทำประตูออกนำ 1-0 อย่างรวดเร็ว จากจังหวะที่ทีมต่อบอลกันอยู่ทางบริเวณกราบขวา ก่อนที่ นานี เปิดบอลเข้าไปในเขตโทษของเจ้าถิ่น เวลเบ็ก และ ชิชาริโต เข้าไม่ถึง แต่บอลเลยมาถึง สโคลส์ พุ่งโหม่งโล่งๆ ตุงตาข่าย


      
ทีมเยือนเกือบบวกสกอร์เพิ่มอีกลูกในนาที 16 เมื่อ เวลเบ็ก สับไกยิงบริเวณกรอบเขตโทษ แต่ จอห์น รัดดีย์ นายด่านนอริช โชว์ซูเปอร์เซฟปัดทิ้งปลายมืออย่างยอดเยี่ยม ด้าน ดาบิด เด เคอา นายทวาร "ผีแดง" ก็ได้โชว์ฝีมือเช่นกันในนาที 28 จากการเซฟลูกยิงของแอนโธนีย์ พิลคิงตัน ที่ได้บอลจาก ไคล์ นาฟตัน หลุดเข้ามาซัดมุมแคบ


      
นอริช ดูจะทำเกมบุกกดดันทีมเยือนดีกว่าในช่วงครึ่งชั่วโมงแรก แต่ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็รอจังหวะเพื่อตอบโต้กลับเช่นกัน ในนาที 33 ชิชาริโต ทำชิ่งกับ เวลเบ็ก ก่อนแตะบอลมายิงหน้าเขตโทษ แต่บอลเบาเกินไปและตรงตัว รัดดีย์ รับเข้าซองสบาย


      
"นกขมิ้น" มีโอกาสทองอีกครั้งที่จะตามตีเสมอในนาทีถัดมา เมื่อ พิลคิงตัน ได้บอลทางริมเขตโทษด้านขวา ก่อนเปิดไปให้ โฮลท์ โฉบมาโหม่งหน้าประตู แต่ เด เคอา ยืนปิดมุมอยู่ป้องกันไว้ได้ หลังจากนั้นไม่มีจังหวะหวาดเสียวอีกจบครึ่งแรกด้วยการที่แชมป์เก่านำ 1-0


      
เกมครึ่งหลัง ทั้งสองทีมผลัดกันรุกและรับอย่างสนุก แต่ยังไม่จังหวะทำประตูแบบชัดเจน กระทั่งนาที 64 เวลเบ็ก ทำชิ่งกับ กิ๊กส์ จนหลุดเดี่ยวเข้าไปในเขตโทษ ก่อนกระดกบอลข้ามตัว รัดดีย์ แต่จังหวะสุดท้ายมีกองหลังเจ้าถิ่นตามมาเตะเคลียร์ทิ้งหวุดหวิดก่อนที่บอลจะเข้าประตู


      
 นอริช แม้ครองเกมบุกกดดันมากกว่า แต่หาโอกาสจบสกอร์ไม่ได้ กลายเป็น แมนฯ ยูไนเต็ด ที่นานๆบุกมาที แต่ได้น้ำได้เนื้อ โดยนาที 72 ก็เกือบบวกสกอร์เพิ่มอีกลูก ฟิล โจนส์ เปิดบอลจากกราบขวามาให้ กิ๊กส์ ตวัดยิงในเขตโทษ แต่โชคร้ายบอลไปชนคาน


      
เกมมาถึงนาที 82 สโคลส์ จ่ายบอลพลาดหน้ากรอบเขตโทษตัวเอง อารอน วิลบราฮัม ตัวสำรองของเจ้าถิ่นตัดบอลได้ ก่อนตะบันจากนอกเขตโทษให้ เด เคอา เหินปัดออกหลัง และจังหวะเตะมุมถัดมา นอริช ก็ตามตีเสมอ 1-1 จนได้ หลังจาก โฮลท์ เก็บบอลในเขตโทษ แล้วกลับตัวยิงผ่านมือ เด เคอา บอลเสียบสามเหลี่ยมอย่างสวยงาม


      
หลังถูกตีเสมอ "ผีแดง" โหมบุกหนักในช่วงท้ายเกม นาที 85 กิ๊กส์ เปิดบอลจากกราบซ้ายให้ เวลเบ็ก ขึ้นคนเดียวในกรอบเขตโทษ แต่บอลโดนไม่เต็มศีรษะผ่านหน้าประตูออกไป อย่างไรก็ตามในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ แอชลีย์ ยัง ตัวสำรองที่ลงมาแทน ชิชาริโต ตั้งแต่ต้นครึ่งหลัง เปิดบอลจากริมเขตโทษด้านซ้ายมาทางเสาไกล กิ๊กส์ วิ่งมาแหย่เท้าเข้าไปกลายเป็นประตูชัยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เฉือนชนะ 2-1 เมื่อจบเกม


      
ขณะที่เกมลอนดอน ดาร์บีแมตช์ ระหว่าง อาร์เซนอล เปิดรังเอมิเรตส์ สเตเดียม รับมือ ทอตแนม ฮอตสเปอร์ ซึ่งเตะเวลาเดียวกัน ปรากฎว่า "ไก่เดือยทอง" ทำประตูออกนำห่าง 2-0 ตั้งแต่ 34 นาทีแรกจากลูกยิงของ หลุยส์ ซาฮา และจุดโทษของ เอมมานูเอล อเดบายอร์ แต่ "ปืนโต" ยิงคืน 5 ประตูรวดจาก บาการี ซานญา โรบิน ฟาน เพอร์ โทมัส โรซิชกี และอีกสองประตูของ ธีโอ วัลคอตต์ จนพลิกกลับมาเอาชนะแบบสุดมัน 5-2


      
รายชื่อผู้เล่นตัวจริงทั้งสองทีม


นอริช ซิตี - จอห์น รัดดีย์, แซก วิทบรีด, เอลเลียตต์ วอร์ด, อดัม ดรูรีย์, ไคล์ นาฟตัน, แบรดลีย์ จอห์นสัน, เดวิด ฟอกซ์, แอนดรูว์ เซอร์แมน, แอนโธนีย์ พิลคิงตัน, แกรนท์ โฮลท์, ไซมอน แจ็กสัน

แมนฯ ยูไนเต็ด - ดาบิด เด เคอา, ริโอ เฟอร์ดินานด์, จอนนี อีแวนส์, ปาทริซ เอฟรา, ฟิล โจนส์, ไมเคิล คาร์ริก, พอล สโคลส์, ไรอัน กิ๊กส์, นานี, แดนนี เวลเบ็ก, ฮาเวียร์ เฮร์นานเดซ

ไฮไลท์แมตช์ เอฟซี โคโลญจน์ VS ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น Bundesliga - ห้างยาแจ่มบุกเชือดแพะบ้า 2-0

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555




"ห้างขายยา" ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่นได้ลาร์ส เบนเดอร์ กองกลางดาวรุ่งทีมชาติเยอรมัน กดคนเดียวสองตุง  ให้ทีมบุกเอาชนะ "แพะบ้า" เอฟซี โคโลญจน์ 2-0 ในศึกฟุตบอลบุนเดสลีกา เยอรมนี เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 25 ก.พ. 2555

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2555

ฟุตบอลบุนเดสลีกา เยอรมัน
เอฟซี โคโลญจน์ 0-2 ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น



      


เลเวอร์คูเซน กำลังเจอความกดดัน นอกจากส่อแววตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ศึกฟุตบอลยูฟา แชมเปียนส์ ลีก หลังแพ้คารังในเลกแรกต่อ บาร์เซโลนา 1-3 แล้ว ในเกมลีก 7 นัดล่าสูดก็ชนะเพียง 2 นัด แต่เกมนี้รองแชมป์เมื่อฤดูกาลที่แล้วทำผลงานยอดเยี่ยม

      
โดยเกมมาถึงนาที 16 เบนเดอร์ ก็ทำประตูให้ทีมเยือนออกนำ 1-0 เมื่อซ้ำลูกโหม่งของ เวดรัน ชอว์ลูกา  แต่แพะบ้า ไม่ท้อพยายามเดินเกมรุกเข้าใส่ นาที 28 ซาช่า รีเธอร์ เปิดบอลขึ้นหน้าให้ มิลิโวเย่ โนวาโควิช เก็บบอลลงเข้าไปซัดในเขตโทษเหินข้ามคานน่าเสียดาย



ถัดมา 4 นาที ห้างขายยา น่าหนีห่าง อันเดร เชือร์เล่อ สปีดเลี้ยงบอลมาไหลเข้าเขตโทษให้ เรนาโต้ ออกุสโต้ สอดเข้ามาแปเร็วหลุดกรอบหวุดหวิด


ครึ่งหลังนาที 50 เลเวอร์คูเซ่น บุกทิ้งห่างเป็น 2-0 ออกุสโต้ ใช้ความสามารถเฉพาะตัวเบี้ยงบอลฝ่าแนวรับเจ้าบ้านมาจ่ายให้ ลาร์ส เบนเดอร์ สังหารระยะ 11 เมตรผ่านมือ มิชาเอล เรนซิ่ง ตุงตาข่าย

      
ผลฟุตบอลบุนเดสลีกาคืนวันเสาร์ที่ 25 ก.พ. 2555โคโลญจน์ แพ้ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน 0-2    
 เอาก์บวร์ก ชนะ แฮร์ธา เบอร์ลิน 3-0     
ไมนซ์ ชนะ ไกเซอร์สเลาเทิร์น 4-0     
สตุตการ์ท ชนะ ไฟร์บวร์ก 4-1     
โวล์ฟสบวร์ก แพ้ ฮอฟเฟนไฮม์ 1-2     
เบรเมน แพ้ เนิร์นแบร์ก 0-1

ไฮไลท์แมตช์ เอซี มิลาน VS ยูเวนตุส Series A Italy - ม้าลายบุกเจ๊ามิลาน 1-1 ต่อสถิติไร้พ่าย



"เจ้าม้าลาย" ยูเวนตุส ฟอร์มยังเยี่ยมรักษาสถิติไม่แพ้ใครต่อไปในฤดูกาลนี้ หลังจาก อเลสซานโดร มาตรี เป็นฮีโร่ยิงประตูให้ทีมตามตีเสมอ "ปีศาจแดงดำ" เอซี มิลาน 1-1 ในศึกฟุตบอลกัลโช เซเรีย อา อิตาลี เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 25 ก.พ. 2555 ที่ผ่านมา


วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2555   
   
ฟุตบอลกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี
เอซี มิลาน 1 - 1 ยูเวนตุส






      
เกมฟาดแข้งของสองทีมหัวตารางซึ่งอาจเป็นการตัดสินแชมป์ในฤดูกาลนี้ "ปีศาจแดงดำ" เอซี มิลาน แชมป์เก่าและจ่าฝูงมี 50 แต้มจาก 24 นัด เปิดสนามซาน ซิโร รับมือ "ม้าลาย" ยูเวนตุส รองจ่าฝูงมี 49 แตัมจาก 23 นัด โดยเจ้าถิ่นของเทรนเนอร์ มาสซิมิเลียโน อัลเลกรี ยังไม่มี ซลาตัน อิบราฮิโมวิช กองหน้าสวีดิชที่ถูกโทษแบนจึงเป็นโอกาสของ ปาโต ลงมาล่าตาข่ายกับ โรบินโญ


ขณะที่ อันโตนิโอ คอนเต กุนซือทีมเยือนมีการปรับเปลี่ยนทีมหลายตำแหน่งโดยเฉพาะเกมรุกที่ มาร์โก บอร์ริเอลโล ยืนหน้าคู่กับ ฟาบิโอ กวายาเรลลา

      
เริ่มครึ่งแรกเป็น มิลาน ครองบอลเหนือกว่าเล็กน้อย กระทั่งนาที 14 จากความผิดพลาดของ เลโอนาร์โด โบนุชชี กองหลังทีมเยือนเตะบอลออกมาจากหน้าเขตโทษตัวเองไม่ดี ก่อนที่บอลมาเข้าทาง อันโตนิโอ โนเชริโน ส่องจากนอกเขตโทษ บอลแฉลบเท้า โบนุชชี เปลี่ยนทางหมดสิทธิ์ที่ จานลุยจิ บุฟฟอน ป้องกันได้ทำให้เจ้าถิ่นนำ 1-0 อย่างรวดเร็ว


      
ปีศาจแดงดำ น่าจะได้ประตูนำห่างอีกลูกในนาที 25 จากจังหวะเตะมุม ฟิลิปป์ เม็กเซส โหม่งจังหวะแรกติดเซฟ บุฟฟอน บอลมาเข้าทาง ซุลลีย์ มุนตารี ซึ่งยืนหน้าประตูโขกซ้ำดาบสอง บุฟฟอน พยายามควักลูกออกมา แต่จากภาพช้าบอลข้ามเส้นไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้กำกับเส้นกลับมองไม่ทันทำให้ มิลาน ยังนำเพียงลูกเดียว


      
นาทีถัดมาต่อเนื่องจากจังหวะปัญหาดังกล่าว ยูเวนตุส ทำเกมโต้กลับเร็ว ก่อนที่ เคลาดิโอ มาร์คิซิโอ ส่องจากนอกเขตโทษให้ คริสเตียน อับเบียติ นายด่านเจ้าถิ่นออกแรงเซฟเช่นกัน ทั้งสองทีมผลัดกันรุก-รับอย่างสนุก ในนาที 26 เป็นโอกาสของ มิลาน อีกครั้ง โรบินโญ ได้บอลหลุดเข้าเขตโทษ แต่จิ้มบอลไปติดตัว บุฟฟอน ออกหลังได้เพียงลูกเตะมุม


      
แนวรับของ มิลาน ค่อนข้างเหนียวแน่นจนปิดโอกาสที่ ยูเวนตุส ต่อบอลเข้าไปลุ้นทำประตูแบบจะแจ้ง เกมมาถึงนาที 30 อันเดรีย ปิร์โล อดีตเด็กเก่า ปีศาจแดงดำ จึงลองส่องไกลจากระยะ 30 หลา บอลเฉียดเสานิดเดียว ขณะที่เจ้าบ้านมาได้ลุ้นฟรีคิกระยะประมาณ 25 หลาในนาที 41 โรบินโญ ยิงไปติดกำแพง แต่บอลมาเข้าทาง มาร์ก ฟาน บอมเมล ซ้ำจากนอกเขตโทษหลุดโคนเสาออกไปเช่นกัน สุดท้ายสกอร์ไม่เปลี่ยนแปลงจบครึ่งแรก มิลาน นำ 1-0


      
เกมครึ่งหลัง ยูเวนตุส เริ่มทำเกมได้ดีกว่า หลังจากมีการปรับเปลี่ยนแนวรุกส่ง มีร์โก วูซินิช เปเป และ อเลสซานโดร มาตรี ลงมาในสนาม โดยเฉพาะครึ่งชั่วโมงสุดท้ายที่โหมบุกหนัก ในนาที 78 มาตรี ได้บอลหลุดเข้าไปในเขตโทษ ซัดผ่านตัว อับเบียติ ซุกก้นตาข่าย แต่ผู้กำกับเส้นยกธงว่าล้ำหน้า
      
อย่างไรก็ตาม ทีมเยือนก็ตามตีเสมอ 1-1 ได้สำเร็จในนาที 83 เปเป เปิดบอลจากกราบขวาไปหน้าประตู จอร์โจ คิเอลลินี วิ่งมาชาร์จเสาแรก บอลไปถูกตัว มาตรี เปลี่ยนทางเสียบเสาเข้าไป โดยที่ อับเบียติ ได้แต่ยืนมอง ช่วง 2 นาทีสุดท้าย แม้ ยูเวนตุส เหลือผู้เล่น 10 คนหลังจาก อาร์ตูโร วิดัล ถูกใบแดงจากการเสียบใส่ ฟาน บอมเมล แต่ไม่มีการทำประตูเพิ่มจบเกมจึงแบ่งกันทีมละคะแนน โดย มิลาน ยังนำเป็นจ่าฝูงมีคะแนนมากกว่า 1 แต้ม แต่ ยูเวนตุส ยังมีเกมในมืออีก 1 นัด
      
ส่วนผลการแข่งขันอีกคู่ - เจนัว พลิกสถานการณ์จากการตามหลัง 2 ลูกกลับมาตามตีเสมอ ปาร์มา 2-2 จากการยิงสองประตูของ โรดริโก ปาลาซิโอ ในนาที 77 และช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 6 โดย เจนัว มี 31 แตัมจาก 25 นัดรั้งที่ 11 ของตาราง ส่วน ปาร์มา มี 29 แต้มจาก 24 นัดอยู่ที่ 14 ของตาราง
      
รายชื่อผู้เล่นตัวจริงทั้งสองทีม


เอซี มิลาน - คริสเตียน อับเบียติ, ติอาโก ซิลวา, ฟิลิปป์ เม็กเซส, ลูกา อันโตนินี, อิกนาซิโอ อบาเต, มาร์ก ฟาน บอมเมล, อูร์บี เอมานูเอลสัน, ซุลลีย์ มุนตารี, อันโตนิโอ โนเซริโน, โรบินโญ, ปาโต้
ยูเวนตุส - จานลุยจิ บุฟฟอน, เลโอนาร์โด โบนุชชี, จอร์โจ คิเอลลินี, อันเดรีย บาร์ซาญี, เคลาดิโอ มาร์คิซิโอ, อาร์ตูโร วิดัล, อันเดรีย ปิร์โล, มาร์เซโล เอสติการ์ริเบีย, สเตฟาน ลิคสไตน์เนอร์, มาร์โก บอร์ริเอลโล, ฟาบิโอ กวายาเรลลา

ไฮไลท์แมตช์เชลซี VS โบลตัน Premier League - สิงห์คัมแบ็คทะลวงโบลตัน 3-0



อังเดร วิลลาส โบอาสยิ้มออกบ้างเสียที เมื่อในที่สุดก็พาทีมกลับมาคว้าชัยชนะได้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 เกม จากประตูของลูอิซ, ดร็อกบาและแลมพาร์ด ทวงอันดับที่ 4 กลับมาจากอาร์เซนอลแบบชั่วคราวก่อน

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2555

ฟุตบอลพรีเมียร์ชิพอังกฤษ
เชลซี 3-0 โบลตัน





เชลซี ซึ่งตอนนี้หล่นลงไปอยู่ที่ 5 ของตาราง รับการมาเยือนของโบลตัน วันเดอร์เรอร์ส เกมนี้เจ้าบ้านต้องการสามแต้มเต็มเท่านั้น เพื่อต่อลมหายใจของอังเดร วิลลาส โบแาช เทรนเนอร์หนุ่มชาวโปรตุกีส


เกมนี้โบอาสตัดสินใจดร็อปตอร์เรสที่ยังคงทำประตูไม่ได้อยู่เหมือนเดิมและส่งดร็อกบายืนหัวหอกเดี่ยวแทน ต้องดูว่าดาวยิงไอวอรี่ โคสต์จะช่วยกู้สถานการณ์ของทีมได้หรือไม่



ด้านแนวรับเจ้าถิ่นคงหวังว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น เพราะจะไม่มีเทอร์รี่กัปตันทีมหัวใจสำคัญถึง 6 สัปดาห์ ต้องพึ่งคู่หูในตำแหน่งเซ็นเตอร์จับใหม่อย่างลูอิซกับเคฮิลล์



ผ่านช่วง 10 นาทีแรก กองหลังของโบลตันวันนี้ยืนกันเป็นหลวมๆน่าดู มีหลายจังหวะต้องช่วยกันตามแก้จนหัวหมุน ซึ่งถือว่ายังโชคดีที่ช๊อตหลุดของแลมพาร์ดและดร็อกบาไปโดนสกัดในจังหวะสุดท้ายได้ก่อน

 
เกมดำเนินไปเรื่อยจนตอนนี้เข้านาทีที่ 20 แล้ว แต่โอกาสยิงของเชลซีก็ยังไม่ได้จะแจ้งอะไรมาก ซึ่งดูแล้วอาจจะมีส่วนมาจากการที่มาต้าแทบจะไม่ได้ปั้นเกมตามที่เขาถนัดเลย มิติในเกมบุกของเชลซีเลยอาจจะดูน้อยไปหน่อย
 

นาทีที่ 29 ดูๆไปแล้วเหมือนเกมของเชลซีจะได้ลุ้นอยู่กับคนเดียวนี่แหละ เมื่อสเตอร์ริดจ์ได้บอลทางริมเส้นฝั่งขวา ก่อนที่จะหักเข้าในตามสูตรเพื่ออัดด้วยอีซ้าย บอลพุ่งโค้งไปเสาสอง แต่นั่นก็ไม่ผ่านมือของบ็อกดานที่พุ่งปัดเอาไว้ได้ทัน

 
หลังจากตันๆอยู่พักใหญ่ ตอนนี้เชลซีเหมือนจะเห็นช่องของโบลตันกว้างขึ้นมาบ้าง เลยจัดเกมบุกต่อเนื่อง ขึงใส่โบลตัน แต่นอกจากจังหวะของสเตอร์ริดจ์ก่อนหน้านี้ ก็ยังไม่เรียกว่าใกล้เคียงเท่าไหร่เลยในลูกอื่นๆ

 
เข้าสู่ช่วง 10 นาทีสุดท้าย ใช่ว่าโบลตันนั้นจะถูกบุกกดดันอยู่ฝ่ายเดียว พวกเขาเองก็มีโอกาสสวนเหมือนกัน เพียงแต่จังหวะที่เซ็ตบอลขึ้นไป ดูแล้วไม่ค่อยละเอียดสักเท่าไหร่ที่จะไปให้ถึงจังหวะเข้าทำ

 
นาทีที่ 41 พลาดโอกาสไปเลยสำหรับเชลซี ที่พวกเขาอุตส่าห์จะได้ลุ้นประตูในจังหวะแลมพาร์ดแทงบอลทะลุช่องไปหน้าประตู ดร็อกบากำลังจะเข้าทำตามถนัด แต่อีวาโนวิชที่สอดขึ้นมาเหมือนจะไม่เห็นเพื่อน พุ่งเข้าหาบอลพร้อมกัน สุดท้ายพอจะหลบก็ไม่ทัน ตัวชนกันจนเป็นโบลตันที่เก็บบอลได้ไป จังหวะนี้ทำเอาดร็อกบาได้แต่นอนยิ้มแห้งๆไม่รู้จะทำยังไงเลย


จบ 45 นาทีแรก เชลซีดูแล้วมีงานอีกเยอะให้ต้องกลับไปขบคิดกันในช่วงพักครึ่ง ไม่งั้นแล้วอับราโมวิชที่นั่งดูอยู่บนแสตนด์อาจจะกริ้วขึ้นมาก็ได้
 

เริ่มครึ่งหลังมาได้แค่ 3 นาที ลูอิซก็เล่นเติมไปยิงซะตอร์เรสถึงกับสะดุ้งเลยทีเดียว เมื่อเขาตัดบอลจากเอ็นก๊อกที่ไปงึกงักยืนรอบอลที่เพื่อนจ่ายมาให้อยู่ ก่อนที่จะลุยเข้าไปเปิดให้เพื่อน สุดท้ายบอลมาเข้าทางเขา ล็อกก่อนหนึ่งจังหวะแล้วปั่นด้วยขวาในกรอบเขตโทษ บอลพุ่งโค้งได้ทั้งน้ำหนักและทิศทางไปเสียบเสาสองสมบูรณ์แบบ เชลซีนำ 1-0 ยิ้มออกสักทีทั้งโบอาสและอับราโมวิช
 

นาทีที่ 51 จริงๆแล้วน่าจะทำได้ดีกว่านี้สักหน่อยสำหรับโคเกอร์ เมื่อเขาได้บอลตรงกลาง เลยพยายามจิ้มต่อไปให้กับเอ็นก๊อกในเขตโทษ บอลไปติดขากองหลังเด้งกลับมาเข้าทางโคเกอร์ที่สวนตูมเดียว แต่บอลพุ่งหลุดกรอบออกไป ทั้งที่จังหวะนี้เช็กได้แต่ยืนมองเท่านั้นแล้ว
 

อีก 5 นาทีต่อมา น่าจะได้ประตูนำห่างออกไปจริงๆสำหรับเชลซี เริ่มตั้งแต่โอกาสของลูอิซที่เติมขึ้นไปโหม่งลูกตั้งเตะ แต่ติดตรงที่บอลมันดันไปเช็ดเสาเหลี่ยมนอกออก พอจังหวะของดร็อกบาที่สอดขึ้นไปยิงลูกแทงทะลุช่องของมาต้าก็สะกิดหลุดออกไปอีก
 

นาทีที่ 61 นำห่างจนได้สำหรับเชลซี เมื่อได้เตะมุมหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายก็ทำประตูจนได้ เมื่อดร็อกบาเทคตัวขึ้นโหม่งแบบเน้นๆ สะบัดพุ่งผ่านตัวบ็อกดานเข้าไปไม่มีเหลือ "สิงห์ไฮโซ" ทิ้ง 2-0
 

อีก 5 นาทีต่อมา ดูแล้วน่าจะรุ่งแน่นอนสำหรับแข้งจิ๋วจากแดนปลาดิบรายนี้ เพราะจัดการกระชากบอลหนีอีวาโนวิชไปได้ แถมยังแตะหลบผ่านเคฮิลล์ที่พยายามพุ่งเข้าเสียบสกัดไปอีกขั้น เสียอย่างเดียวจังหวะจ่ายเขาดันไปติดโคลซะนี่

 
นาทีที่ 76 หลังจากทำประตูในเกมนี้ได้ไป ดร็อบกาก็ต้องถูกเปลี่ยนตัวออกแบบไม่มีทางเลือก เพราะดันเจ็บเองในจังหวะที่ไปเตะตุนกาย เชลซีเปลี่ยนเอาตอร์เรสลงไปเล่นแทน ทีนี้ก็มาลุ้นกันว่าหัวหอกสแปนิชจะทำประตูได้หรือไม่

 
อีก 3 นาทีต่อมา แฟนเชลซีชื่นมื่นกันเต็มที่ไปเลย เมื่อขวัญใจของพวกเขาอย่างแลมพาร์ดกลับมาทำประตูได้อีกครั้ง ในจังหวะจ่ายของมาต้าที่โยนบอลแม่นอย่างกับจับวางไปให้แลมพาร์ดที่เสาสอง ตั้งเท้ายิงให้ตรงกรอบก็พอ เชลซีทิ้ง 3-0


ช่วงเวลาที่เหลือด้วยเกมที่ขาดไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากการที่แฟนบอลนั่งลุ้นให้บอลไปถึงตอร์เรสและให้หัวหอกสแปนิชยิงให้ได้เสียที แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เกิดขึ้น จบ 90 นาทีเป็นเชลซีที่คว้าชัยชนะไปด้วยสกอร์ 3-0 ดีดหนีอาร์เซนอล 3 คะแนนทวงอันดับที่ 4 กลับมาแบบชั่วคราวก่อน



รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม เชลซี : ปีเตอร์ เช็ก 7, ดาวิด ลูอิซ 7, แกรี่ เคฮิลล์ 6.5, แอชลี่ย์ โคล 6.5, บรานิสลาฟ อีวาโนวิช 6.5, มิคาเอล เอสเซียง 6.5, รามิเรส 6(โอบี มิเกล น.88), แฟรงค์ แลมพาร์ด 8, ฆวน มาต้า 6.5, ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา 8 (ตอร์เรส 6 น.76), ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ 7.5(กาลู 6 น.80)

โบลตัน : อดัม บ็อกดาน 6.5, เดวิด วีเทอร์ 6, ทิม รีม 6, ซามูเอล ริคเก็ตส์ 6, เกรตาร์ สไตนส์สัน 6, ไนเจล รีโอ โคเกอร์ 5.5, ฟาบริซ มูอัมบ้า 5.5, เรียว อิยาอิชิ 6.5, ดาร์เรน แพลตลี่ย์ 6, ตุนกาย ซานลี่ 6.5(อีเกิ้ลส์ 6 น.75), ดาวิด เอ็นก๊อก 6(ซอร์เดลล์ 6 น.66)

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สุดยอดแมตช์ตลอดกาล