ฟุตบอลนัดกระชับมิตรทีมชาติ
วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555
อังกฤษ 2 - 3 ฮอลแลนด์
วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555
อังกฤษ 2 - 3 ฮอลแลนด์
อาร์เยน ร็อบเบน แผลงฤทธิ์ ซัดชัยช่วงทดเจ็บพา "กังหันลม" ฮอลแลนด์ บุกเชือด "สิงโตคำราม" อังกฤษ คาเวมบลีย์ 3-2 โดยเกมนี้ ร็อบเบน ซัดคนเดียวสองลูก ในศึกฟุตบอลนัดกระชับมิตรทีมชาติ เมื่อวันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมา
สนาม : เวมบลีย์
สจ๊วร์ต เพียร์ซผู้จัดการทีมชาติอังกฤษชั่วคราวแต่งตั้งให้สก็อตต์ พาร์เกอร์รับบทกัปตันแม้สตีเว่น เจอร์ราร์ดที่ถูกมองว่ามีโอกาสสวมปลอกแขนจะได้ลงบู๊เป็นตัวจริงร่วมกับมิด ฟิลด์ทีมสเปอร์สในการรับใช้ชาติคู่กันเป็นครั้งแรก
รวมแล้วเกมนี้ สิงโตคำรามมีการปรับโผหกรายจากเกมชนะสวีเดนซึ่งเป็นการคุมทีมแม็ตช์สุดท้ายของฟาบิโอ คาเปลโล่ก่อนลาออก
โดย ในตำแหน่งแบ็คขวาตกเป็นของไมกาห์ ริชาร์ดส์ซึ่งได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงหนแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2007 หลังจากทั้งเกล็น จอห์นสันและไคล์ วอล์คเกอร์บาดเจ็บจนต้องถอนตัว ขณะที่แบ็คซ้ายมีเซอร์ไพรซ์เลห์ตัน เบนส์ยังรักษาตำแหน่งได้แม้แอชลีย์ โคลจะฟิตกลับมาแล้ว
สำหรับกองหน้าแดนนี่ เวลเบ็ครับภาระหอกเดี่ยวโดยอดัม จอห์นสันตัวริมเส้นซึ่งติดทีมชาติเป็นนัดที่สิบกลับมาลงบู๊เป็นตัวจริงอีกหน นับตั้งแต่เดือนต.ค.2010
ด้านฮอลแลนด์มีโรบิน ฟาน เพอร์ซี่ลงเล่นได้หลังกองหน้าอาร์เซน่อลสลัดอาการบาดเจ็บขาหนีบได้ทันเวลา แต่ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ทมิดฟิลด์สเปอร์สบาดเจ็บถอนตัวไปแล้ว
อังกฤษ เริ่มเกมได้อย่างน่าฮือฮา และมีเสียวในนาทีที่ 7 จากลูกเตะมุมด้านซ้ายที่แกรี่ เคฮิลล์โฉบเข้าโขกเสาแรกระยะหกหลา สะบัดออกเสาไกลไปนิดเดียวเท่านั้น
แต่ไม่ทันไร ฮอลแลนด์ก็เริ่มตั้งลำได้ และนาทีที่ 15 อาร์เยน ร็อบเบนก็เลื้อยขึ้นฝั่งซ้ายลากบอลจี้เข้าหาริชาร์ดส์ในเขตโทษก่อนซัดมุมแคบ แต่ถูกโจ ฮาร์ทปัดทิ้งได้
ถัดมาในนาทีที่ 26 สิงโตคำรามน่าจะออกนำเมื่อแอชลีย์ ยังไหลบอลจากแถวสองเข้าเขตโทษด้านขวาให้จอห์นสันหาจังหวะล็อคยิงแฉลบจอห์น นี่ ไฮติงก้าหลุดเสาสองออกไป
ผ่านมาถึงนาทีที่ 33 เจ้าบ้านก็เปลี่ยนเจอร์ราร์ดที่เหมือนจะไม่สมบูรณ์ออกโดยส่งดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ลงไปแทน
ล่วง มาถึงนาทีที่ 43 เบนส์เสริมเกมรุกทางซ้ายไปโยนบอลเข้าเขตโทษ แต่ยังโดดโขกจาก 15 หลาที่เสาแรกไม่เต็มศีรษะ บอลจึงโด่งข้ามคาน ครบ 45 นาทีแรกเกมจึงจบลงแบบจืดชืด 0-0
ครึ่งหลังทีมเมืองผู้ดีส่ง เจมส์ มิลเนอร์ลงไปแทนแกเร็ธ แบร์รี่ ขณะที่ทีมเยือนใช้งานคลาส แยน ฮุนเตลาร์และสไตน์ ชาร์สแทนฟาน เพอร์ซี่และเอริค ปีเตอร์ส
จากนั้นในนาทีที่ 47 ริชาร์ดส์ก็รับใบเหลืองในจังหวะเสียบร็อบเบน
กระนั้น อีกสองนาทีให้หลังจากลูกเตะมุมด้านขวาของสิงโตคำรามที่ยังสาดเข้าไปเสาไกล สเตอร์ริดจ์ก็ดึงบอลหนีบูลารูซก่อนกระทุ้งจาก 15 หลา ทว่ามาร์เตน สเตเลเลนเบิร์กล้มตัวปัดที่โคนเสาได้
จากนั้นในนาทีที่ 54 เวสลีย์ สไนเดอร์ก็ผ่านบอลขวางมาจากทางซ้ายให้ฮุนเตลาร์กระทุ้งจาก 25 หลา แต่บอลหลุดกรอบไปแบบพอได้ลุ้น
และ ในที่สุดอีกสามนาทีต่อมาในจังหวะที่ไนเจล เดอ ย็องก์เสียบแย่งบอลได้ ร็อบเบนก็เก็บตกลากจากแดนตัวเองขึ้นมาโดยที่แนวรับสิงโตคำรามถอยร่นประคอง จังหวะกันหมด จึงทำให้ปีกสกินเฮดสับไกจาก 20 หลาส่งบอลเรียดผ่านฮาร์ทเข้าประตูเป็นสกอร์นำ 1-0 ของทีมดัตช์
เท่า นั้นไม่พอ เขี่ยบอลกันใหม่ได้แค่สองนาที เคาท์ก็โยนบอลจากกราบขวาเข้าเขตโทษให้ฮุนเตลาร์โขกจากหกหลาไม่เหลือ ฮอลแลนด์จึงนำ 2-0 ในนาทีที่ 59 แต่ศีรษะของฮุนเตลาร์ปะทะกับคริส สมอลลิ่งเต็มๆในจังหวะขวิดบอลจนน็อคทั้งคู่
อย่างไรก็ดี ฮุนเตลาร์ลุกขึ้นมาเองได้แต่ได้เลือดเล็กน้อยจึงเปลี่ยนออกให้ลุค เดอ ย็องก์ลงไปแทน ขณะที่สมอลลิ่งต้องหามลงเปลออกไปโดยมีฟิล โจนส์ลงบู๊เป็นแบ็คขวาให้ริชาร์ดส์ย้ายไปเล่นเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ขณะที่สจ๊วร์ต ดาวนิ่งก็ถูกปล่อยลงไปแทนจอห์นสันเช่นกัน
ขยับมาในนาทีที่ 66 มิลเนอร์ตักบอลจากกราบขวาเข้าเขตโทษเยี่ยม แต่ดาวนิ่งวอลเลย์ที่เสาสองย้อนศรออกนอกกรอบไปแค่คืบเท่านั้น
นาที ที่ 69 ร็อบเบนแผลงฤทธิ์อีกหนเมื่อรับบอลจากสไนเดอร์แล้วเลื้อยขึ้นทางซ้ายแตะหนี โจนส์เข้าไปกดในเขตโทษได้ แต่ริชาร์ดส์ปรี่เข้ามาบล็อคออกนอกกรอบได้ทัน
ท้าย เกม ทรี ไลอ้อนส์พยายามเดินหน้า และนาทีที่ 73 เบนส์ก็เก็บตกได้ในเขตโทษด้านซ้ายจึงปาดไปอีกฟากให้สเตอร์ริดจ์ซัดเหน่งๆหก หลา แต่เบาเกินไปจึงถูกสเตเคเลนเบิร์กคว้าได้
นาทีต่อมา โยริส มาไธจ์เซ่นทำฟาวล์ยังจึงได้ใบเหลือง และถึงนาทีที่ 77 ทีมเยือนก็เปลี่ยนอูร์บี้ เอมานูเอลสันลงไปแทนสไนเดอร์
นาที ที่ 85 สิงโตคำราม มาได้ประตูตีไข่แตก แกรี่ เคฮิลล์ หลุดขึ้นมาในกรอบเขตโทษก่อนจะล็อคหลบกองหลังทีมเยือนแปรด้วยขวาโล่งๆ ไล่มาเป็น 1-2
นาทีสุดท้าย เจ้าถิ่นมีฮึดมาได้ประตูตีเสมอ จากผู้เล่นของ ผีแดง โดย ฟิล โจนส์ ที่เติมเกมบุกขึ้นมาตรงกลางก่อนจะแทงออกขวาให้ แอชลีย์ ยัง หลุดเข้าไปกระดกบอลข้ามตัว มาร์เตน สเตเคเลนเบิร์ก เสียบเสาสองเข้าไปอย่างสวยงาม ตามมาเป๋น 2-2
แต่แล้วช่วงทด เวลาบาดเจ็บ แฟนสิงโตคำรามต้องเงียบทั้งสนามเมื่อ อูร์บี้ เอมานูเอลสัน เติมเกมขึ้นมาทางซ้ายก่อนจะเปิดบอลเข้ากลางให้ ฟาน บอมเมล ดีดบอลต่อให้ อาร์เยน ร็อบเบน ได้ปั่นด้วยซ้ายลูกเสียบเสาสองหมดปัญญาที่ โจ ฮาร์ท จะป้องกันไว้ได้ กังหันลมนำ 3-2
ช่วงที่เหลือ อังกฤษบุกหนักหวังตีเสมออีกครั้ง แต่ไม่มีจังหวะพังประตู จบเกมจึงพ่ายคารังให้ทีมเมืองกังหันลมไปอย่างสุดมันส์ 2-3
สนาม : เวมบลีย์
สจ๊วร์ต เพียร์ซผู้จัดการทีมชาติอังกฤษชั่วคราวแต่งตั้งให้สก็อตต์ พาร์เกอร์รับบทกัปตันแม้สตีเว่น เจอร์ราร์ดที่ถูกมองว่ามีโอกาสสวมปลอกแขนจะได้ลงบู๊เป็นตัวจริงร่วมกับมิด ฟิลด์ทีมสเปอร์สในการรับใช้ชาติคู่กันเป็นครั้งแรก
รวมแล้วเกมนี้ สิงโตคำรามมีการปรับโผหกรายจากเกมชนะสวีเดนซึ่งเป็นการคุมทีมแม็ตช์สุดท้ายของฟาบิโอ คาเปลโล่ก่อนลาออก
โดย ในตำแหน่งแบ็คขวาตกเป็นของไมกาห์ ริชาร์ดส์ซึ่งได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงหนแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2007 หลังจากทั้งเกล็น จอห์นสันและไคล์ วอล์คเกอร์บาดเจ็บจนต้องถอนตัว ขณะที่แบ็คซ้ายมีเซอร์ไพรซ์เลห์ตัน เบนส์ยังรักษาตำแหน่งได้แม้แอชลีย์ โคลจะฟิตกลับมาแล้ว
สำหรับกองหน้าแดนนี่ เวลเบ็ครับภาระหอกเดี่ยวโดยอดัม จอห์นสันตัวริมเส้นซึ่งติดทีมชาติเป็นนัดที่สิบกลับมาลงบู๊เป็นตัวจริงอีกหน นับตั้งแต่เดือนต.ค.2010
ด้านฮอลแลนด์มีโรบิน ฟาน เพอร์ซี่ลงเล่นได้หลังกองหน้าอาร์เซน่อลสลัดอาการบาดเจ็บขาหนีบได้ทันเวลา แต่ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ทมิดฟิลด์สเปอร์สบาดเจ็บถอนตัวไปแล้ว
อังกฤษ เริ่มเกมได้อย่างน่าฮือฮา และมีเสียวในนาทีที่ 7 จากลูกเตะมุมด้านซ้ายที่แกรี่ เคฮิลล์โฉบเข้าโขกเสาแรกระยะหกหลา สะบัดออกเสาไกลไปนิดเดียวเท่านั้น
แต่ไม่ทันไร ฮอลแลนด์ก็เริ่มตั้งลำได้ และนาทีที่ 15 อาร์เยน ร็อบเบนก็เลื้อยขึ้นฝั่งซ้ายลากบอลจี้เข้าหาริชาร์ดส์ในเขตโทษก่อนซัดมุมแคบ แต่ถูกโจ ฮาร์ทปัดทิ้งได้
ถัดมาในนาทีที่ 26 สิงโตคำรามน่าจะออกนำเมื่อแอชลีย์ ยังไหลบอลจากแถวสองเข้าเขตโทษด้านขวาให้จอห์นสันหาจังหวะล็อคยิงแฉลบจอห์น นี่ ไฮติงก้าหลุดเสาสองออกไป
ผ่านมาถึงนาทีที่ 33 เจ้าบ้านก็เปลี่ยนเจอร์ราร์ดที่เหมือนจะไม่สมบูรณ์ออกโดยส่งดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ลงไปแทน
ล่วง มาถึงนาทีที่ 43 เบนส์เสริมเกมรุกทางซ้ายไปโยนบอลเข้าเขตโทษ แต่ยังโดดโขกจาก 15 หลาที่เสาแรกไม่เต็มศีรษะ บอลจึงโด่งข้ามคาน ครบ 45 นาทีแรกเกมจึงจบลงแบบจืดชืด 0-0
ครึ่งหลังทีมเมืองผู้ดีส่ง เจมส์ มิลเนอร์ลงไปแทนแกเร็ธ แบร์รี่ ขณะที่ทีมเยือนใช้งานคลาส แยน ฮุนเตลาร์และสไตน์ ชาร์สแทนฟาน เพอร์ซี่และเอริค ปีเตอร์ส
จากนั้นในนาทีที่ 47 ริชาร์ดส์ก็รับใบเหลืองในจังหวะเสียบร็อบเบน
กระนั้น อีกสองนาทีให้หลังจากลูกเตะมุมด้านขวาของสิงโตคำรามที่ยังสาดเข้าไปเสาไกล สเตอร์ริดจ์ก็ดึงบอลหนีบูลารูซก่อนกระทุ้งจาก 15 หลา ทว่ามาร์เตน สเตเลเลนเบิร์กล้มตัวปัดที่โคนเสาได้
จากนั้นในนาทีที่ 54 เวสลีย์ สไนเดอร์ก็ผ่านบอลขวางมาจากทางซ้ายให้ฮุนเตลาร์กระทุ้งจาก 25 หลา แต่บอลหลุดกรอบไปแบบพอได้ลุ้น
และ ในที่สุดอีกสามนาทีต่อมาในจังหวะที่ไนเจล เดอ ย็องก์เสียบแย่งบอลได้ ร็อบเบนก็เก็บตกลากจากแดนตัวเองขึ้นมาโดยที่แนวรับสิงโตคำรามถอยร่นประคอง จังหวะกันหมด จึงทำให้ปีกสกินเฮดสับไกจาก 20 หลาส่งบอลเรียดผ่านฮาร์ทเข้าประตูเป็นสกอร์นำ 1-0 ของทีมดัตช์
เท่า นั้นไม่พอ เขี่ยบอลกันใหม่ได้แค่สองนาที เคาท์ก็โยนบอลจากกราบขวาเข้าเขตโทษให้ฮุนเตลาร์โขกจากหกหลาไม่เหลือ ฮอลแลนด์จึงนำ 2-0 ในนาทีที่ 59 แต่ศีรษะของฮุนเตลาร์ปะทะกับคริส สมอลลิ่งเต็มๆในจังหวะขวิดบอลจนน็อคทั้งคู่
อย่างไรก็ดี ฮุนเตลาร์ลุกขึ้นมาเองได้แต่ได้เลือดเล็กน้อยจึงเปลี่ยนออกให้ลุค เดอ ย็องก์ลงไปแทน ขณะที่สมอลลิ่งต้องหามลงเปลออกไปโดยมีฟิล โจนส์ลงบู๊เป็นแบ็คขวาให้ริชาร์ดส์ย้ายไปเล่นเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ขณะที่สจ๊วร์ต ดาวนิ่งก็ถูกปล่อยลงไปแทนจอห์นสันเช่นกัน
ขยับมาในนาทีที่ 66 มิลเนอร์ตักบอลจากกราบขวาเข้าเขตโทษเยี่ยม แต่ดาวนิ่งวอลเลย์ที่เสาสองย้อนศรออกนอกกรอบไปแค่คืบเท่านั้น
นาที ที่ 69 ร็อบเบนแผลงฤทธิ์อีกหนเมื่อรับบอลจากสไนเดอร์แล้วเลื้อยขึ้นทางซ้ายแตะหนี โจนส์เข้าไปกดในเขตโทษได้ แต่ริชาร์ดส์ปรี่เข้ามาบล็อคออกนอกกรอบได้ทัน
ท้าย เกม ทรี ไลอ้อนส์พยายามเดินหน้า และนาทีที่ 73 เบนส์ก็เก็บตกได้ในเขตโทษด้านซ้ายจึงปาดไปอีกฟากให้สเตอร์ริดจ์ซัดเหน่งๆหก หลา แต่เบาเกินไปจึงถูกสเตเคเลนเบิร์กคว้าได้
นาทีต่อมา โยริส มาไธจ์เซ่นทำฟาวล์ยังจึงได้ใบเหลือง และถึงนาทีที่ 77 ทีมเยือนก็เปลี่ยนอูร์บี้ เอมานูเอลสันลงไปแทนสไนเดอร์
นาที ที่ 85 สิงโตคำราม มาได้ประตูตีไข่แตก แกรี่ เคฮิลล์ หลุดขึ้นมาในกรอบเขตโทษก่อนจะล็อคหลบกองหลังทีมเยือนแปรด้วยขวาโล่งๆ ไล่มาเป็น 1-2
นาทีสุดท้าย เจ้าถิ่นมีฮึดมาได้ประตูตีเสมอ จากผู้เล่นของ ผีแดง โดย ฟิล โจนส์ ที่เติมเกมบุกขึ้นมาตรงกลางก่อนจะแทงออกขวาให้ แอชลีย์ ยัง หลุดเข้าไปกระดกบอลข้ามตัว มาร์เตน สเตเคเลนเบิร์ก เสียบเสาสองเข้าไปอย่างสวยงาม ตามมาเป๋น 2-2
แต่แล้วช่วงทด เวลาบาดเจ็บ แฟนสิงโตคำรามต้องเงียบทั้งสนามเมื่อ อูร์บี้ เอมานูเอลสัน เติมเกมขึ้นมาทางซ้ายก่อนจะเปิดบอลเข้ากลางให้ ฟาน บอมเมล ดีดบอลต่อให้ อาร์เยน ร็อบเบน ได้ปั่นด้วยซ้ายลูกเสียบเสาสองหมดปัญญาที่ โจ ฮาร์ท จะป้องกันไว้ได้ กังหันลมนำ 3-2
ช่วงที่เหลือ อังกฤษบุกหนักหวังตีเสมออีกครั้ง แต่ไม่มีจังหวะพังประตู จบเกมจึงพ่ายคารังให้ทีมเมืองกังหันลมไปอย่างสุดมันส์ 2-3
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น